วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2557

ธุรกิจรับจ้างจัด “อีเว้นท์สวดภาณยักษ์” : สะดวก หรือ เสื่อม ?

ธุรกิจรับจ้างจัด “อีเว้นท์สวดภาณยักษ์” : สะดวก หรือ เสื่อม ?


แรกๆก็เข้าใจว่าทางวัดที่บ้านจัดสวดภาณยักษ์เอง แต่สังเกตุรอบๆคนที่มาขายของทั้งวัตถุมงคล ทั้งเครื่องบูชาไม่ใช่คนในพื้นที่เลยเข้าไปถามว่ามาจากไหน พวกเขากลับมาพิรุจไม่ยอมตอบ อ้ำๆอึ้งๆ เลยไม่ถามแต่จากการสังเกตุลักษณะแบบมารับจัดงานอีเว้น “สวดภาณยักษ์” ให้กับวัดเป็นจ็อบๆ

ถามคนที่ขายเครื่องบูชาพระราหูในงานคนหนึ่งก็หลุดปากบอกมาว่า “เจ้าอาวาสเป็นคนโทรไปบอกหัวหน้า รีบๆซื้อของไหว้นะจ้ะน้อง พรุ่งนี้พี่ไม่อยู่แล้ว จะย้ายไปจัดที่วัดแถวๆปทุมธานี ว่างๆก็ไปนะ” ผมได้ยินแล้วเกิดอาการเงิบอย่างบอกไม่ถูก ที่ได้ฟังมานี่จะตีความเป็นอื่นไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่ธุรกิจ ตอกย้ำด้วยภาพรถบรรทุกข้าวของวัตถุมงคลที่จอดอยู่ข้างโบถส์อย่างภาพนี้



กลุ่มรับจัดงานอีเว้นท์สวดภาณยักษ์ จะมีคอนแทคกับลูกค้าก็คือเจ้าอาวาสวัดต่างๆ แล้วก็คงมีเซลมาแนะนำก่อนว่าถ้าจัดอีเว้นนี้รายได้จะแบ่งกับวัดเท่าได้ แล้วเขาจะขอเท่าไหร่ โดยมีการบริการแบบวันสต๊อปเซอร์วิช ตั้งแต่อุปกรณ์ เครื่องเซ็นไหว้ธูปเทียน คนทรงเจ้า จนกระทั้งวัตถุมงคล วัดอาจจะร่วมแจมแค่ส่งพระสงฆ์มาเป็นพร็อบสวดนั่นโน่นนี่ก็พอ

ลักษณะการจัดงาน “อีเว้นท์สวดภาณยักษ์” ผมถือว่าพวกเขาจัดได้อย่างมืออาชีพ นึกง่ายๆเวลาคุณไปงานนิทรรศการอะไรสักอย่างหนึ่งที่จะมีเวทีกลางเป็นไฮไลท์มีการแสดงหลักที่คนสนใจ รอบๆข้างก็มีเวทีย่อยที่การแสดงเล็กๆน้อยๆ ถัดมาก็เป็นบูธกิจกรรม และสุดท้ายที่ขาดไม่ได้การร้านขายของที่ระลึก

พอๆกันกับ “อีเว้นท์สวดภาณยักษ์” เวทีหลักก็คือการสวดภาณยักษ์ยิ่งใหญ่อลังการ เวทีย่อยก็คือมีคนทรงเจ้ามีหมอดูมีคนแสดงอิทธิฤทธิ์ แล้วก็มีไทยมุง ถัดมาบูธกิจกรรมก็ประเภทซื้อธูปเทียนไหว้ศาลเพียงตา ซื้อเครื่องบูชาพระราหู บริจาคโลงศพ สุดท้ายร้ายขายของที่ระลึกก็คือขายจำพวกกุมาร ลักยม น้ำมันพราย 

คิดง่ายๆ แค่คุณเดินเข้างานนี้ด่านแรกคุณต้องเสียเงินซื้อธูปเทียนไหว้ศาลเพียงตา 20 บาทค่าครูอีก เท่าไหร่ไม่ทราบครับเพราะผมไม่ได้ร่วมกิจกรรม และค่าเครื่องบูชาพระราหู 40 บาท ซื้อก็เป็นของเซ่นแบบเวียนเทียน เอาเป็นว่าอย่างต่ำประหยัดสุดคุณมาเสียเงินอย่างน้อย 60 บาท ไม่นับรวมว่าถ้ามีการหยอดเหรียญ หยอดตู้บริจาคนั่นนี่อีก ซึ่งดูทรงแล้วตรวจสอบยากว่าเอาเงินบริจาคเราไปทำประโยนช์จริงหรือไม่ นอกจากเอาไปกินกันเอง


ทำมาหากินบนความเชื่อความงมงาย ไม่ต่างอะไรจากพวกต้มตุ๋น 18 มงกุฎ ถือเป็นกิจกรรมที่ทำไม่ได้เพิ่มสติปัญญาได้เลยแม้แต่น้อย และที่เศร้าก็คือ “สวดภาณยักษ์” ที่แท้จริงไม่ใช่เรื่องงมงาย หากศึกษาประวัติและวัตถุประสงค์การการสวด ก็จะเป็นปริศนาธรรมคือเมื่อสวดประจำย่อมสามารถขับไล่ “ยักษ์ภายใน” คือโลภ โกรธ หลง ออกจากใจได้แน่นอน


การสวดภาณยักษ์

การสวดภาณยักษ์หรือการสวดพระอาฏานาฏิยปริตร มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลโดยมีความเชื่อกันว่าผู้แต่งบทสวดนี้ขึ้นมาคือยักษ์อาศัยอยู่ชั้นจาตุมหาราชิกาซึ่งสูงกว่ามนุษย์เพียงชั้นเดียว ในการเข้าพิธีสวดนี้ผู้เข้าพิธีต้องมีขันหรือที่เรียกกันว่า ขันครู ข้างในจะประกอบไปด้วยของหลักๆคือผ้ายันต์และด้ายสายสิญจ์และข้าวสาร เมล็ดถั่วเขียวต่างๆเพื่อนำไปโปรยไว้ตามบ้านหรือใส่ในกระถางธูปเพื่อเป็นสิริมงคลหลังจากเสร็จพิธี

ในขณะประกอบพิธีบางคนก็มีอาการประหลาดต่างๆเกิดขึ้น เช่น กระโดดโลดเต้น ชักดิ้นชักงอ คล้ายกับคนโดนของเพราะเชื่อว่าเป็นการสวดขับไล่สิ่งไม่ดีให้ออกไปจากตัวรวมทั้งเสริมบารมีไปในตัวด้วยเช่นกันหากในตัวผู้ใดมีการสักยันต์หรือโดนคุณโดนของก็จะมีอาการออกมาอย่างนั้น เช่น สักหนุมานก็จะกระโดดโลดเต้นเป็นลิง เป็นต้น

ทำนองการสวดจะแปลกกว่าพระคาถาที่ได้ยินอยู่ทั่วไปคือเสียงสวดจะฟังดูแล้วน่ากลัวโหยหวนผสมกับกระแทกกระทั้นดุดันสลับเสียงไปมาในบรรดาพระสงฆ์เจ้าพิธีซึ่งมีอยู่4รูป ระหว่างทำพิธีก็จะมีพระมาคอยประพรมน้ำมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลต่อผู้เข้าร่วมพิธี


อุปทานหมู่

นายแพทย์ท่านหนึ่งได้ให้สัมภาษณ์และวิจารณ์ว่า เสียงสวดที่มีความโหยหวนกระแทกกระทั้นและมีเสียงสูงต่ำ ยิ่งมีการจุดประทัดด้วย จะกระตุ้นระบบประสาท ทำให้เกิดมีอาการชักได้ง่าย

“การสวดนี้จะเป็นการ กระตุ้นทางกายและใจ คนที่ใจอ่อนอยู่แล้ว จะชักได้ง่าย ยิ่งคนที่ชัก คิดว่ามีผีอยู่ในตัว ก็จะยิ่งมีแนวโน้มจะชักมากขึ้น ความรุนแรงของการดิ้นหรือชักจะ แตกต่างกันไปตั้งแต่พนมมือและสั่น ( ไม่ได้รวมไว้กับอาการดิ้นหรือชัก) ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก อาการรุนแรงอื่นๆได้แก่ ลุกขึ้นชัก กระตุกไม่รู้สึกตัว จนกระทั่งแรงมาก โดย มีการชกต่อยเกิดขึ้น หรือทำร้ายตัวเอง และหกคะเมนตีลังกา”

ในทรรศนะของจิตเวชแผนปัจจุบัน อธิบายว่า ได้เกิดมีอาการแตกแยกของจิตใจไปชั่วขณะหนึ่ง ลักษณะต่างๆและพฤติกรรมที่มองเห็น เช่น การกระตุก การสั่น การชักดิ้น เช่นนี้จะเกิดขึ้นชั่วคราว พร้อมกับส่งเสียงร้องกรี๊ดอย่างน่ากลัว ทำให้บุคคลที่ใจอ่อนอยู่แล้ว เกิดมีอาการเอาอย่างขึ้น กับกลุ่มชนที่อยู่ร่วมกันในระหว่างพิธี จะเห็นมีข่าวบ่อย ครั้งที่นักเรียนทั้งโรงเรียนมีอาการคล้ายผีเข้าทั้งโรงเรียน

เขาก็เรียกว่าเป็นอุปทานหมู่ ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้ในการเข้าพิธี สวดภาณยักษ์ ถือว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายต่างๆ ซึ่งสิงอยู่ในร่างกายเช่น ถูกของ ผีเข้า ผีสิง ฯลฯ กำลังจะออกจากตัว แต่การชักเพราะจิตประสาทนี้ อาจจะทำให้สุขภาพจิต ดีขึ้น ไม่มีผลเสียต่อร่างกายแต่อย่างใด


ธุรกิจสวดภาณยักษ์

เนื่องจากมีความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบันการสวดภาณยักษ์หลายแห่ง ได้กลายเป็นพุทธพาณิชย์เชิงธุรกิจไปแล้ว โดยมีนายหน้ามาขอเช่าสถานที่ของวัด จัดพิธี สวดฯ กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน มีหน้าม้า ค้าวัตถุมงคล ผ้ายันต์ สารพัด

ซึ่งเป็นธุรกิจที่หากินกับความศรัทธาของชาวพุทธ ที่ยังไม่เข้าใจถึงพระธรรมคำสอน ของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง การเข้าร่วมพิธี จึงต้องดูให้ดีด้วย ว่าผู้ จัดเป็นใคร เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน

---------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น