คนแก่นำ ลูกหลานตาม : โมเดลการรักษาผืนป่าที่ยั่งยืน
ธัญพิสิษฐ์ เลิศบำรุงชัย
The Nation
The Nation
ข้อมูลจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเผยให้เห็นว่า
เมื่อปี 2519
พื้นที่ป่าจังหวัดน่านมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 7 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 73 ของพื้นที่จังหวัดน่านทั้งหมด
แต่ป่าไม้ได้ถูกบุกรุกทำลายอย่างต่อเนื่อง ในตลอดช่วง 26 ปีที่ผ่านมา เมื่อปี 2545 พบว่าจังหวัดน่านเหลือพื้นที่ป่าเพียง 3 ล้านไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 41 ของพื้นที่จังหวัดน่านทั้งหมด
ล่าสุดปี 2554 มีการสำรวจพื้นที่ป่าอีกครั้ง และพบว่าจังหวัดน่านเหลือพื้นที่ป่า เพียง 39.87% จากพื้นที่ทั้งจังหวัด ซึ่งนี่ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อมและชีวิตที่ต้องพึ่งพิงแหล่งน้ำและป่าไม้อย่างประเมินค่าไม่ได้
ที่เห็นได้ชัดคือภัยธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นในทุกๆ ปี
เรื่องราวเหล่านี้ปรากฎอยู่ในข่าวโทรทัศน์
และตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน “สุริโย” ไม่รอแล้ว
เขาต้องทำอะไรสักอย่างที่จะทำให้ป่าไม้คงอยู่ต่อไป เขาเชื่อในพลังเล็กๆของกลุ่มเยาวชน
และเขาจะเริ่มต้นจากท้องถิ่นที่ตนอาศัยอยู่ นั่นคือที่บ้านหนองผุก ตำบลปรือ อำเภอเชียงกลาง
จังหวัดน่าน
การรวมกลุ่มของเด็กๆบ้านหนองผุกค่อยๆก่อตัวขึ้น
ในช่วงแรกมีสมาชิกเพียง 10 คน ปัจจุบันมีสมาชิกในกลุ่มจำนวน
80 คนหรือเรียกว่าเด็กในหมู่บ้านแทบทุกคนล้วนเป็นสมาชิกของกลุ่มละอ่อนฮักป่า
มีทั้งเด็กนักเรียนชั้นประถมและมัธยมศึกษาตั้งแต่อายุ 7 ปีขึ้นไป
จนถึงอายุ 23 ปี ซึ่งรุ่นพี่ทีโตขึ้น
แล้วต้องไปเรียนต่อหรือไปทำงานในเมือง หรือในกรุงเทพมหานคร ก็ยังมีการติดต่อกัน
และส่งไม้ต่อให้กับรุ่นน้องได้ทำงานสืบสาน ทำกิจกรรมอนุรักษ์ป่าไม้ต่อไป
ไม่ใช่เพียงแต่การเคลื่อนไหวของเด็กๆเท่านั้น
การอนุรักษ์ป่าไม้จะเกิดขึ้นได้อย่างจริงจัง
ชาวบ้านในชุมชนต้องเป็นหลักให้กับเด็กๆในการทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
โชคดีที่ผู้เฒ่าผู้แก่ที่นี่ รวมทั้งครูที่โรงเรียน และหน่วยงานรัฐท้องถิ่นให้การสนับสนุน
“คนแก่นำ ลูกหลานตาม ทำให้เกิดกลุ่มละอ่อนฮักป่า
หรือเยาวชนคนรักษ์ป่า พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยายของเราได้ชักชวนให้มาร่วมกิจกรรมที่เป็นการอนุรักษ์ป่าไม้ในชุมชนอย่างต่อเนื่อง
โดยสอดแทรกภูมิปัญญาชาวบ้าน และกุศโลบายในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับป่าไม้ได้อย่างแยบยล
อย่างเช่นการบวชป่า ด้วยความที่ชาวบ้านที่นี่เป็นพุทธศาสนิกชนที่นับถือพระภิกษุสงฆ์
ดังนั้นต้นไม้ต้นใดที่ผ่านการบวชแล้วก็เสมือนหนึ่งว่าต้นไม้ตั้นนั้นอยู่ในบวรพระพุทธศาสนาชาวบ้านจะไม่ตัดเด็ดขาด
นอกจากนี้อย่างสอนให้ทำฝ่ายชะลอน้ำ การทำแนวกันไฟป่า
รวมไปถึงการหาสมุนไพรที่มีอยู่ในป่าอีกด้วย” สุริโยกล่าว
สอดคล้องกับผู้ใหญ่บ้านของบ้านหนองผุก “วิเวก ซ้อนพุฒ”
บอกว่าในชุมชนได้สร้างกฎ ระเบียบ กติกา ข้อบังคับ
การดูแลรักษาป่าไม้และสิ่งแวดล้อม บางครอบครัวชักชวนลูกหลานไปร่วมเรียนรู้
อยากให้ผจญภัย อยากให้มีกำไรชีวิต ในกิจกรรมต่างๆ ถึงแม้จะมีความลำบาก
ความเหนื่อยล้า แต่ก็แฝงไปด้วยความสนุก ตื่นเต้น ได้พบได้เห็นได้ผจญภัย
ทำให้เยาวชนที่ไปร่วมกิจกรรมกับผู้ปกครองได้เล่าประสบการณ์ให้เพื่อนฝูงฟัง
จากนั้นมากิจกรรมที่เกี่ยวกับป่าย่อมจะมีเยาวชนร่วมด้วยทุกครั้ง
ในรุ่นหลังต่อมาผู้นำชุมชนจึงได้สนับสนุนกิจกรรมการอนุรักษ์ป่าให้กับกลุ่มเยาวชน
เน้นความรักความสามัคคี และให้ทุกคนรัก หวงแหนทรัพยากรป่าไม้
“ชุมชนบ้านหนองผุกรวมชื่อชาวบ้านกว่า 50 คนยื่นจดทะเบียนพื้นที่ป่ารอบชุมชน ให้เป็นป่าชุมชน กับกรมป่าไม้เพื่อให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมจากประชาชน
และองค์กรชุมชน ทั้งทางตรงและทางอ้อม ตามความเชื่อและวัฒนธรรมท้องถิ่นเพื่อประโยชน์ที่สอดคล้องกับความต้องการของชุมชนอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
เป็นป่าที่ประชาชนเข้าไปใช้สอยตามวิถีชีวิตของคนทุกคนในชุมชน ทั้งเรื่องการทำมาหากิน
ระบบครอบครัวเครือญาติ ประเพณีความเชื่อ อำนาจและกฎระเบียบในชุมชน” ผู้ใหญ่บ้านบ้านหนองผุกกล่าว
ด้านนายกิตติพร บุญญกิจ นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการ กรมป่าไม้
เผยว่าป่าชุมชนของชุนชนบ้านผุกมีเนื้อที่ทั้งหมด 3,726 ไร่
ในอดีตบริเวณนี้ผ่านสัมปทานทำไม้ มีการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าของชาวบ้าน
รวมทั้งการทำไร่เลื่อนลอยของเกษตรกรในพื้นที่เอง
“การขึ้นทะเบียนเป็นป่าชุมชนแล้วชุมชนจัดการเองได้นั้น
มันดีกว่าที่จะให้รัฐ หรือกรมป่าไม้เข้าไปควบคุมอยู่แล้ว
เพราะชาวบ้านจะช่วยกันดูแลปกป้องผื่นป่าด้วยความรัก ของรู้สึกว่าตนเป็นเจ้าของ
ใครที่จะเข้ามาบุกรุกป่าในพื้นที่นี้ก็จะกระทำได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้นต้องยอมรับว่าชุมชนที่นี่เข้มแข็ง
มีการส่งต่ออุดมการณ์ให้ลูกหลานดูแลผืนป่า จนได้รับรางวัลป่าชุมชนดีเด่น
ด้านเยาวชนคนรักษ์ป่าเมื่อปี 2554 ที่ผ่านนี้ด้วย” กิตติพรกล่าว
ค่ายเยาวชนกล้ายิ้ม ภาคเหนือ ประจำปี 2556
รางวัลป่าชุมชนดีเด่น ด้านเยาวชนคนรักษ์ป่า คงจะเป็นเครื่องการันตีได้ว่าป่าชุมชนแห่งนี้พอจะสามารถเป็นโมเดลเยาวชนอนุรักษ์ป่าไม้
ให้กับชุมชนอื่นๆได้ ทำให้ค่ายเยาวชนกล้ายิ้มภาคเหนือถูกจัดขึ้นที่นี่โดยได้รับการสนับสนุนจากบริษัท
ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) และกรมป่าไม้
เพื่อเป็นการสร้างจิตสำนึกการอนุรักษ์ป่า และสืบทอดการบริหารจัดการป่าชุมชนในอนาคต
ค่ายเยวชนกล้ายิ้มภาคเหนือครั้งนี้
ได้คัดเลือกตัวแทนเยาวชนจาก 10 จังหวัดในภาคเหนือคือน่าน แพร่ ตาก
สุโขทัย อุตรดิตถ์ ลำปาง ลำพูน เชียงใหม่ พะเยา และเชียงราย ที่มีอายุระหว่าง 13- 15 ปี จำนวน 80 คนเข้าร่วมกิจกรรม
“เรียนรู้วิถีชีวิตการอยู่กับป่าอย่างยั่งยื่นของป่าชุมชน กิจกรรม
“เรียนรู้สู้โลกร้อน” กิจกรรม “เยาวชนกล้างยิ้มสร้างสวนสมุนไพร” และกิจกรรม
“อนาคตของป่าชุมชน”
“บุญทิวา ด่านสมสถิต”
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริหารองค์กร บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด
(มหาชน) กล่าวว่าการระดมความคิดในหัวข้อ “อนาคตของป่าชุมชน”
ได้ช่วยกระตุ้นให้เยาวชนรู้จักคิด รู้จักสังเกตป่าชุมชนของตนเอง
รู้จักเก็บประสบการณ์และสิ่งที่พบเห็นมาต่อยอดวางแผนป่าชุมชนของตนในอนาคตข้างหน้า
อะไรที่ดีอยู่แล้วก็พัฒนาให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้นได้ ส่วนที่ยังขาดก็นำสิ่งดีๆ
ที่ได้จากค่ายมาประยุกต์ใช้ บริษัทฯ
เชื่อว่ากระบวนการนี้จะสามารถกระตุกต่อมคิดจิตสำนึกของเยาวชนให้ตระหนักในเรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและพลังงานมากขึ้น
ด้าน ด.ช.สราวุธ เศษห้า อายุ 14 ปี โรงเรียนบ้านหนองปลาสะวาย ตัวแทนเยาวชนจากจ.ลำพูน ที่มาเข้าค่ายกล้ายิ้มครั้งนี้
บอกว่าจะนำความรู้ที่ได้ไปบอกกับเพื่อนๆที่โรงเรียน และพ่อแม่
อย่างเช่นเรื่องการทำปุ๋ยหมักจากซังข้าวโพด เพราะที่บ้านปลูกข้าวโพดเหมือนกันและมีซังข้าวโพดเหลือทิ้ง
ที่บ้านก็จะเอาไปเผา
แต่คราวนี้ผมจะให้ที่บ้านเอามาทำเป็นปุ๋ยหมักและไม่ต้องเผาซังข้าวโพดอีกต่อไป
ส่วนทางด้าน น.ส.พวงผกา ราชจักร์ อายุ 17 ปี วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุตรดิตถ์ ตัวแทนเยาวชนจากจังหวัดอุตรดิตถ์
มองอนาคตของป่าชุมชนว่าเป็นไปได้ใน 2 แนวทางคือถ้าคนชุมชนช่วยกันอนุรักษ์ก็ทำให้ป่ามีอยู่ต่อไป
แต่แบบนี้จะมีสักกี่ชุมชน เพราะส่วนตัวเห็นว่าหลายพื้นที่ก็จะยังมีการบุกรุกทำลายป่าอยู่อย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะนายทุน ที่ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ถ้าเป็นแบบนี้ป่าจะลดน้อยลงเรื่อยๆ
และแน่นนอนว่าภัยธรรมชาติก็อาจทวีความรุนแรงมากขึ้นเช่นกัน
เยาวชนคนรักษ์ป่าบ้านหนองผุกถือเป็นเยาวชนต้นแบบที่มีจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม
กระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
และมุ่งมั่นทำงานด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูสภาพป่าไม้ให้คงอยู่ต่อไป
มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
สมัครสมานสมานสามัคคีและที่สำคัญเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วม บทบาทของเยาวชนกลุ่มนี้ได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมจากชุมชนเป็นอย่างดี
เป็นภาพของ “คนแก่นำ ลูกหลานตาม”
ช่วยกันอนุรักษ์และมีวิถีชีวิตอยู่ร่วมกับป่าอย่างยั่งยืน
------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น