นักข่าวสายพันธุ์ใหม่ : เหรียญ 2 ด้าน
โดย ธัญญา วาดวงษ์ นักศึกษาชั้นปีที่3 มหาวิทยาลัยเนชั่น
คุณเคยตั้งคำถามกับตัวเองไหมว่า
ทำไมเดี๋ยวนี้ข่าวสารเรื่องราวต่างๆถึงเยอะแยะปรี่ล้นไปหมด? คุณจะไปไหนมาไหนหรือทำอะไร ก็มักเจอแต่ข่าว
จนอาจเรียกได้ว่าข่าวก็เหมือนกับเงาซึ่งแทบจะวิ่งตามคุณอยู่ทุกขณะจิต
หมดแล้วซึ่งยุคสมัยที่คนต้องดั้นด้นไปล่าข่าวหรือรอเสพข่าวจากสื่อกระแสหลัก เพราะเทคโนโลยีที่มนุษย์เรียกกันว่า
‘สื่อใหม่’ ได้เข้ามาปรับเปลี่ยนวิถีของสื่อมวลชน
ให้กลายเป็นยุคสมัยที่ข่าวสารหันมาไล่ล่าคนข่าวอย่างดุเดือด
จากภาพวาดบนผนังถ้ำ
สัญลักษณ์แปลกๆ ตัวอักษรโบราณ พิราบส่งสาร ม้าเร็ว แท่นพิมพ์ ใบปลิว หนังสือพิมพ์
วิทยุ โทรทัศน์ สื่อเก่าเหล่านี้ หากมองอย่างเป็นกลางจะเห็นว่า ล้วนแต่มีช่องโหว่ทางการสื่อสาร
ทั้งการสื่อสารทางเดียว การผูกขาดทางข้อมูล ไหนจะการปิดหูปิดตาประชาชน
การให้ความรู้ผิดๆ การหลอกใช้ และอื่นๆ …นี่คือตัวอย่างเล็กน้อยต่ออดีตอันมัวหมองของวงการสื่อมวลชน
ทว่ายุคสื่อใหม่นี้
ขอเพียงแค่คุณมีสมาร์ทโฟนสักเครื่องผสานกับความสามารถในการใช้อุปกรณ์สักหน่อย
คุณก็สามารถเป็นนักข่าวสมัครเล่น นักข่าวพลเมือง หรือนักข่าวกำมะลอ ได้ทั้งนั้น
(ตามแต่ที่นักข่าวอาชีพจะสารพัดนิยาม)
จึงไม่แปลกนัก
ที่ทุกวันนี้ มนุษย์ทั้งหลาย จะเห่อเทคโนโลยี ‘สื่อใหม่’ กันอย่างคลั่งไคล้ เพราะในสื่อใหม่ พวกเขาสามารถสร้างโลกเสมือนบนอินเตอร์เน็ต
ผ่านสิ่งที่เรียกว่า ‘สังคมออนไลน์’ ต่างๆ
ทั้งเฟสบุ๊ค เว็บบอร์ด ยูทูป ทวิตเตอร์ ฯลฯ ซึ่งปฏิวัติวงการสื่อเก่าอย่างเกินคาดเดา
พวกเขาสามารถพูดคุย แสดงทัศนะวิจารณ์สังคม
นำเสนอข่าวด่วนข่าวร้อนชนิดวินาทีต่อวินาที และเป็นการสื่อสารสองทางที่ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนประเทศใด
ก็สามารถเข้ามาเสพเนื้อหาและแสดงความเห็นได้อย่างเสรี
…กระทั่งคำว่า
‘สื่อผูกขาด’ ถูกกลบทิ้งและแทนที่ด้วยคำว่า
‘สื่อทางเลือก’ ในที่สุด
สื่อมวลชนอาชีพ
ถูกการเปลี่ยนแปลงโจมตีเข้าอย่างหนัก ฉันมักเห็นสื่อมวลชนยุคสามสี่ปีมานี้ ชอบนำเสนอข่าวโดยนำข้อมูลรวมถึงรูปภาพของเฟสบุ๊คหรือเว็บไซต์ต่างๆมาอ้างอิง
(เช่น ข่าวอุทกภัย54 ,
ข่าวรูปหลุดพระมิตซูโอะกับสีกาแอน) นักข่าวตัวจริงเริ่มหันมาเกาะติด
ยอมรับต่อความเปลี่ยนแปลง และพยายามปรับตัวให้รอดต่อวิวัฒนาการที่เกิดขึ้น
เหรียญมีสองด้านฉันใด
สื่อใหม่ก็มีมุมมืดแฝงเร้นฉันนั้น จริงอยู่ที่ประชาชนสามารถมีหูตาที่กว้างไกลขึ้น
ทั้งยังสามารถวิพากษ์และตรวจสอบสื่อได้มากขึ้น
แต่สื่อใหม่ก็ขาดศักยภาพในการตรวจสอบตนเองเช่นกัน ทำให้หลายข่าวสารหลายบทความหลายความเห็น
มักถูกนำเสนออย่างไร้จรรยาบรรณ (ซึ่งก็ไม่แปลก
เพราะนักข่าวสายพันธุ์ใหม่ไม่จำเป็นว่าต้องประกอบอาชีพสื่อมวลชน) เช่น
ข่าวสาวซีวิค ซึ่งผู้คนออกมาประณามเยาวชนที่อายุไม่ถึง18 ปี อย่างเจ็บแสบ
ทั้งมีการนำรูปภาพของสาวน้อยซีวิคคนดังกล่าวออกมาเปิดเผยอย่างโจ่งแจ้ง หรือเว็บไซต์ที่ให้ผู้คนสามารถหมิ่นสถาบันกษัตริย์ได้อย่างเต็มสตรีม
เป็นต้น (หากเป็นสื่อกระแสหลัก แล้วเสนอข่าวด้วยพฤติกรรมดังกล่าว
ต้องถูกรัฐดำเนินคดี)
ดังนั้น
ฉันจึงคิดว่า จะดีกว่าไหม
หากเรานำเฉพาะข้อดีของนักข่าวทั้งสองสายพันธุ์(ใหม่และเก่า) มาประยุกต์ใช้กับตัวเอง
นำการมองทิศทางข่าว การเสนอข่าว และจริยธรรมสื่อจำพวกหมาเฝ้าบ้าน (watchdog)
และนายทวารข่าวสาร (gatekeeper)
ของนักข่าวสายพันธุ์เก่า มาใช้กับความรวดเร็วร้อนแรงและลุ่มลึก
ของนักข่าวสายพันธุ์ใหม่ เพื่อให้ข่าวออกมาอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
ฉันคิดว่า
นักข่าวสายพันธุ์ใหม่ต้องเป็นหมาเฝ้าบ้าน(watchdog)
ที่สัตย์ซื่อต่อเจ้าของบ้าน(ประเทศ) มิใช่จะพยายามทำตัวให้เป็นหมาขี้เรื้อน
ซึ่งมักจ้องแต่จะ ‘เห่า’ และ ‘กิน’ ไปเรื่อยโดยไร้สำนึก ทั้งเป็นกระจกที่สะท้อนสังคม
บอกเล่าทุกเรื่องราว เป็นนายทวารข่าวสาร (gatekeeper)
ซึ่งกลั่นกรอง ‘จริง’ และ ‘เท็จ’ อย่างมีคุณธรรม
ท้ายสุดแล้วนักข่าวยังต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม(social
responsibility) ผลักดันสังคมให้ก้าวเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง
…เพราะคนข่าวมิได้มีหน้าที่แค่รายงานข่าวเท่านั้น
///////////////////////////////////////////////////
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น