ทางเดินแคบๆที่หลบซ่อนอยู่ข้างถนน พระอาทิตย์ ถ้าไม่เดินเข้าไปดู ก็คงเป็นเพียงตรอกเล็กๆไม่มีอะไรน่าสนใจ หากแต่ข้อมูลที่เราได้มาก่อนหน้านี้ระบุว่าที่นี่คือ “ตรอกมัสยิดจักพงษ์” เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนบางลำพู และที่สำคัญก็คือว่าชุมชนแห่งนี้สามารถรักษาวิถีชีวิตดั่งเดิมเอาไว้ได้อย่างหมดจด
1
ชุมชนตรอกมัสยิดจักรพงษ์ เป็นชุมชนที่มีวัฒนธรรมของชาวมุสลิมมาอย่างยาวนาน มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ทั้งยังมีความสมานฉันท์ของชุมชน มีจุดศูนย์กลางในการรวมตัวเพื่อประกอบกิจศาสนา การทำกิจกรรมของชุมชน อยู่ภายในบริเวณลานพื้นที่ของมัสยิดจักรพงษ์
ชาวตรอกมัสยิดจักรพงษ์ จะเดินทางมาละมาดที่มัสยิดกลางหมู่บ้านกันเป็นประจำ เช้า กลางวัน เย็น เมื่อผู้ใหญ่ทำเด็กๆก็ทำตามจนเป็นเรื่องปกติในชีวิต และที่สำคัญก็คือว่าสิ่งที่ปฏิบัติกันเป็นประจำเหล่านี้ ได้กลายเป็นแนวคิดที่ฝั่งแน่นในวิถีมุสลิมของชาวตรอกมัสยิดจักรพงษ์ โดยไม่ต้องมีการกระตุ้น หรือจัดกิจกรรมพิเศษทางสังคมแต่อย่างใด
วิถีชีวิตและความงดงามของศาสนาเช่นนี้ จึงกลายเป็นเกราะป้องกันเยาวชนกับอบายมุขได้เป็นอย่างดี ที่นี่จึงเป็นตัวอย่างให้กับชุมชนอื่นๆในย่านบางลำพูที่วิถีชุมชนของตนเองก็เริ่มถูกสั่นคลอนไปแล้วด้วยเหมือนกัน
โอภาส มิตรมานะ หรือบังซัน โต๊ะอิหม่ามประจำมัสยิดจักพงษ์ที่เกิดและโตมาในย่านบางลำพู เขาเห็นความเปลี่ยนแปลงของชุมชนลำพูมาโดยตลอด
เริ่มจากความเจริญที่มาพร้อมกับแหล่งสถานบันเทิงในถนนข้าวสาร แล้วค่อยๆลุกล่ามออกมาห้อมล้อมชุมชน จนตกอยู่ท่ามกลางสังคมแวดล้อมที่เป็นแหล่งอโคจร
“เมื่อ 20 ปีที่แล้วเรามีความเป็นอยู่ที่สบายๆ เรียบง่ายไม่มีผับไม่มีบาร์ถึงจะมีก็น้อย แต่ปัจจุบันนี้สถานบันเทิงมันมาล้อมรอบชุมชนจนจะทำให้เรานั้นไม่เข้มแข็งมากเหมือนก่อน แต่ก็พยามสร้างความเข้มแข็งโดยการใช้หลักศาสนาปลูกฝังให้กับเยาวชน เราพยามป้องๆทรายให้มันอยู่ในนี้ไม่ให้แตกออกมากนัก แล้วชุมชนนี้เป็นชุมชนเล็กเยาวชนก็น้อยด้วยถ้าเราปล่อยปละละเลยไปอาจทำให้เยาวชนของเรานั้นเลยเถิดไปแล้วยุ่ง” บังซันกล่าว
2
ที่ถนนข้าวสาร เราได้พบกับพี่ชัยวัฒน์ ปัญญาวิช วัย 25 ปี บ้านของเขาอยู่ใกล้กับสถานบันเทิงมากที่สุด สิ่งที่พี่ชัยวัฒน์เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ คนบางลำพูดั่งเดิมกำลังย้ายถิ่นฐานออกไป ขณะเดียวกันคนต่างพื้นที่ก็กำลังย้ายเข้ามาแทน โดยมาทำเกสท์เฮาส์และร้านเหล้ากันมากขึ้น
“ตัวผมเองเป็นเด็กบางลำพู บ้านผมอยู่ซอยรามบุตรีเห็นได้ชัดเลยว่า15 ปีที่แล้วกับปัจจุบันมีความแตกต่างกันมาก เมื่อก่อนจุดศูนย์รวมอยู่ที่ข้าวสารหมด แต่ตอนนี้ความเจริญร้านเหล้า ร้านอาหาร เกสท์เฮาส์มันเริ่มขยายไปเรื่อยๆจากข้าวสารมาเป็นรามบุตรี ตอนนี้เริ่มขยายไปตานีแล้ว ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าต่อจากนี้บางลำพูจะเป็นอย่างไร บางลำพูก็อาจจะเป็นแหล่งสถานเริงรมย์ไปเลยก็ได้” ชัยวัฒน์กล่าว
สภาพแวดล้อมเพื่อการอยู่อาศัยเปลี่ยนไปเป็นสภาพแวดล้อมของสถานบันเทิง ที่บางครั้งมีคนเมา บางครั้งมีคนอาเจียน เป็นภาพที่พี่ชัยวัฒน์ได้เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ณ วันนี้ครอบครัวของพี่ชัยวัฒน์ ไม่รอแล้วพวกเขาตัดสินใจแล้วว่าจะย้ายบ้านหนี
“ต่อให้บ้านน่าอยู่แค่ไหนถ้าสภาพแวดล้อมไม่ดีอยู่ไปก็ไม่มีความสุข การอยู่อาศัยมีปัจจัยหลายอย่าง 1. ตัวคนภายในบ้าน 2. ตัวบ้าน 3.เพื่อนบ้าน และ 4.สภาพแวดล้อม ตอนนี้ทุกคนในบ้านดี แต่ที่เหลือย่ำแย่มันก็เลยทำให้ผมขอย้ายดีกว่า” ชายวัย 25 ปีกล่าว
3
ผลกระทบจากการรุกคืบของสถานบันเทิงในวิถีชีวิตจริง ของคนบางลำพู จนต้องย้ายบ้านหนี ทำให้เราตั้งคำถามต่อว่าเชื้อของความความสงบง่ายในพื้นที่ของบางลำพูจะยังคงมีเหลืออยู่หรือไม่ ...มีเหลือมากพอที่จะเป็นภูมิคุ้มกันให้กับชุมชนได้จริงหรือ
นอกจากวิถีมุสลิมที่เข้มแข็งของชาวตรอกมัสยิดจักรพงษ์ ยังมีอะไรอีกบ้างที่เป็นเกราะป้องกันเยาวชนคนบางลำพู เราจะลองค้นหาดู
คนบางลำพูที่เกิดและโตมาจนวันนี้หลายคนกำลังคิดหาวิธีที่จะสร้างภูมิคุ้มให้ชุมชน และที่สำคัญพวกเขาคือกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่เรียกตัวเองว่า “เกสรลำพู”
“ชมรมเกสรลำพู” ถือกำเนิดมาได้ 12 ปีแล้ว การรวมตัวทั้งผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ เด็ก และเยาวชนในชุมชนที่ร่วมใจกันสร้างสรรค์กิจกรรมต่างๆ เพื่อพัฒนาชุมชนของตนเอง ผ่านรูปแบบกิจกรรมที่แตกต่างกันออกไป ทั้งงานศิลปวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ชุมชน งานบุญ และงานศาสนา ด้วยการทำงานที่เป็นเครือข่ายทำให้เกิดผลงานที่เป็นรูปธรรม สามารถเห็นและสัมผัสได้ในทุกวันนี้
นางสาวปานทิพย์ ลิกขะไชย หรือพี่ต้า รองประธานชมรมเกสรลำพูบอกว่า กิจกรรมที่จัดขึ้นทำให้ชมรมเกสรลำพูมีสมาชิกใหม่โดยเฉพาะเด็กๆที่อยู่ในพื้นที่มีโอกาสรู้จักสนิทสนมกันมากขึ้น เด็กทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการพื้นที่ในการแสดงความสามารถของตนทั้งสิ้น ทำให้มีเด็กจำนวนมากอยากที่จะเข้ามาร่วมกิจกรรมกับชมรมเกสรลำพู เด็กทุกคนได้มีโอกาสทำงานเพื่อสังคม ได้แสดงความคิดเห็น ออกไอเดีย ได้โดยไม่ถูกปิดกั้น ทำให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือพัฒนาสังคมให้ดียิ่งขึ้น
เราถามต่อว่า “แล้วกิจกรรมที่ชมรมเกสรลำพูทำกันอยู่จะช่วยให้ชุมชนห่างไกลจากสถานบันเทิงและอบายมุขได้จริงๆหรือ” พี่ต้าตอบคำถามนี้ไว้อย่างน่าสนใจ
“จริงๆแล้วเรื่องนี้พยาพยามจะให้มันช่วยได้แต่ว่ายุคมันเปลี่ยน การที่เราเข้าไปทำคงไม่ใช่ว่าต้องป้องกันได้หมดเลย หรืออย่าไปเลยอย่าทำเลย คิดว่ายาก เพราะว่าเด็กสมัยนี้ค่อนข้างจะมีความคิดเป็นของตัวเองมากๆ แต่เอาเป็นว่าเราเป็นแค่จุดจุดหนึ่ง เป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งในชีวิตทำให้เขาได้รู้จัก เรียนรู้วิถีชุมชน แล้วอะไรที่ดีหรือไม่ดีคิดว่าขึ้นอยู่กับตัวเขาเพราะเราคงไม่มีเวลาตลอด 24 ชั่วโมงไปให้เขา เรื่องพวกนี้มันอยู่ที่ตัวน้องเขาเองด้วย”
///////// TANPISIT LERDBAMRUCHAI; THE NATION
///////// TANPISIT LERDBAMRUCHAI; THE NATION
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น