วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ในม็อบเสธอ้าย ใครแพ้ ใครชนะ




ป้านิด รัตนา กาญจน์แก้ว กับป้านวย กัฐลี ชูรัตน์ เป็นเพื่อนกัน เช้าของวันที่ 24 พฤศจิกายน (2555) พวกเธอชวนกันมาชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาล ร่วมกับองค์การพิทักษ์สยาม ซึ่งมีผู้ชุมนุมคนอื่นๆทยอยเข้ามาสมทบ ท่ามกลางการคุ้มกันของเจ้าหน้าตำรวจอย่างเข้มงวด
ป้านิดเป็นคนจังหวัดขอนแก่น เธอบอกว่ามีเพื่อนหลายคน อยู่ในที่ชุมนุม ก็ชวนๆกันมา
และถึงแม้ว่าในช่วงเก้าโมงเช้าที่ผ่านมา ตำรวจได้เริ่มกระชับพื้นที่ และใช้แก็สน้ำตากับผู้ชุมนุมบ้างแล้ว เธอก็ไม่ได้แสดงความหวาดกลัวออกมาให้ผมเห็น
ผมนั่งคุยกับป้านิด ลองถามเธอดูว่าคิดอย่างไรกับปรากฎการณ์ที่เมื่อครั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็มีกลุ่มนปช.ออกมาต้าน แล้วพอช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็มีม็อบองค์การพิทักษ์สยามออกมา ดูเหมือนว่าต่างคนต่างมีฐานกำลังของตนเอง แล้วบ้านเมืองจะปรองดองได้อย่างไร ? ป้านิดยอมรับว่า “ไม่ว่าจะกลุ่มไหนก็มีผลประโยชน์กันทั้งนั้น ให้ดูว่ากลุ่มนั้นถือประโยชน์ส่วนรวม หรือประโยชน์ส่วนตน”

ส่วนป้านวย มาจากจังหวัดนนทบุรี และมาเจอกับเพื่อนในซอยเดียวกันในที่ชุมนุม วันนี้กันเธอถึงขั้นลงทุนเช่าโรงแรมไว้เป็นที่พัก ผมขอดูกระเป๋าของป้านิดว่าเธอเอาอะไรมาชุมนุมบ้าง ก็เห็นจะมีเพียงมือปรบ ยาดม ขนมขบเคี้ยว และน้ำดื่ม ในขณะเดียวกันตลอดเวลาที่เรานั่งคุยกัน ก็จะคนมาเดินแจกหน้ากากอนามัย และซีดีเกี่ยวกับองค์การพิทักษ์สยามอยู่เป็น พักๆ เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าการใช้แก็สน้ำตารอบสอง กำลังจะเกิดขึ้นตามมาในช่วงบ่าย
หลังจากนั้นผมก็แยกจากป้านิด และป้านวยเพื่อเดินสำรวจ สังเกตุการณ์ การชุมนุม พบว่าเวทีหลักขององค์กรพิทักษ์สยาม ตั้งอยู่ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า และจำนวนผู้ชุมนุมมียาวมาถึงแยกมิสกวัน
ขณะเดียวกันมีข่าวมาว่า บ่ายสองโมงที่แยกมิสกวันนั้น กลุ่มผู้ชุมนุมจากลานพระบรมรูปทรงม้าคือที่ที่ผมสังเกตการณ์อยู่ จะดันเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเปิดทางให้กลุ่มผู้ชุมนุมจาก สะพานมัฆวานมาสมทบ ผมจึงรีบไปที่ดูทันที



สถานการณ์เริ่มตรึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ หลังตำรวจยกโล่ห์ป้องกัน พร้อมกับขยับไปมา เพื่อข่มขวัญผู้ชุมนุม ขณะเดียวกันผู้ชุมนุมก็มีอารมณ์เกลี้ยวกราดมากขึ้น และช่วยกันดันเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนกระทั้ง บ่ายสองโมงเศษๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจตัดสินใจใช้แก็สน้ำตาเพื่อสะกัดพื้นที่


ถึงนาทีนี้ ผมอดนึกถึงป้านิด กับป้านวยไม่ได้ ไม่รู้ว่าพวกเธอเข้ามาอยู่ในเขตที่มีการปะทะกันหรือไม่ เพราะอายุของเธอทั้ง 2 ก็มากแล้ว ไม่เหมือนตัวผมกับช่างภาพซึ่ง อายุเพียง 19 ปี ยังคงมีแรงวิ่งหนีเอาตัวรอด
แต่ถึงกระนั้นผมและน้องช่างภาพก็หลีหนีไม่พ้นควันจากแก็สน้ำตา และพยามวิ่งออกมาพร้อมๆกับผู้ชุมนุม ในวิกฤตช่วงนั้น ยังคงมีความประทับใจดีดีครับ เพราะว่าผมได้แบ่งน้ำในขวดให้กับลุงๆป้าๆไปหลายคน ที่แสบตาจากแก็สน้ำตา แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่เป็นช่วงเวลาที่พอจะบรรเทาความเจ็บปวดของพวกเขาได้บ้าง การแบ่งปันเป็นสิ่งที่สวยงามเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ ที่ใด เวลาใด และสถานการณ์ใดก็ตาม

การชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม จบลงเร็วกว่าที่คาดคิด หลังเสธอ้าย พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ แกนนำของกลุ่มประกาศยุติการชุมนุม โดยอ้างว่าเพื่อรักษาชีวิตของพี่น้องประชาชน
ทุกวันนี้ผมยังตอบตัวเองไม่ได้ว่า ทุกครั้งที่มีการชุมนุมทางการเมือง และทุกครั้งการมีการเผชิญกันระหว่างรัฐกับประชาชน ใครคือผู้แพ้ และใครคือผู้ชนะ แต่เห็นที่เห็นอยู่ตรงหน้าในวันนี้ คือบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่าย และข้าวของที่เสียหายไปเท่านั้น

-------------------------------------------------------------------------------------------