วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ข่าวดี ? รับปีใหม่ นักเรียนเฮ “ศธ.เตรียมยกเลิกทรงเกรียน”




ข่าวมาว่า หลังมีนักเรียนมัธยมจากโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรสาคร ทำหนังสือร้องเรียนต่อสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  กรณีระเบียบตัดผมสั้นเกรียน กระทบต่อสิทธิมนุษยชน คณะกรรมการสิทธิฯจึงได้ดำเนินการเรียกร้องมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปลายปี 2554 จนล่าสุดคณะรัฐมนตรี มีหนังสือให้กระทรวงศึกษาธิการ ออกกฎกระทรวงฉบับใหม่ 
รายละเอียดของข่าวชิ้นนี้มีเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการได้ปฏิบัติตามกฎกระทรวงปี  2515 ที่นักเรียนหญิงต้องตัดผมสั้นเสมอติ่งหู  และนักเรียนชายต้องตัดผมสั้นเกรียนมาโดยตลอด และมีการออกกฎเพิ่มในปี 2518 ให้ยืดหยุ่นได้ โดยนักเรียนหญิงให้ไว้ผมยาวได้ไม่เกินต้นคอ  แต่หากเกินต้องรวบผมให้เรียบร้อย ต่อมาในปี 2546 ทางกระทรวงได้มีบันทึกข้อความส่งถึงโรงเรียนทั่วประเทศ ให้ใช้ดุลยพินิจและความเหมาะสมตามสถานการณ์  ทำให้เกิดความไม่เสมอภาคกันในทางปฏิบัติ
นางศิริพร กิจเกื้อกูล รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ บอกว่า ขณะนี้กระทรวงฯ เตรียมยกร่างกฎกระทรวงใหม่ให้เหลือเพียงฉบับเดียว และจะแยกหลักปฏิบัติของแต่ระดับชั้นให้ชัดเจน  โดยจะมีคณะกรรมการพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง
จากข่าวนี้เราจะลองย้อนกับไปดูความเป็นมา ต้นกำเนิดของทรงนักเรียน ตามที่มีปรากฎอยู่ในบทความว่าด้วยเรื่องกฎทรงผม ของ ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ จากหนังสือพิมพ์มติชนฉบับ 2 พฤศจิกายน 2550 มีคำตอบสรุปความได้ว่า
“ประเทศไทยรับทรงผมทรงนักเรียนทั้งเครื่องแบบต่างๆ จากประเทศญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งในช่วงสงครามนั้นเกิดเหาระบาดมาก ประชาชนจึงนิยมตัดผมสั้น”
กระทรวงศึกษาธิการได้ออกกฎกระทรวง ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2515) แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2515 [1] ในเรื่องเกี่ยวกับทรงผมที่ ไม่เหมาะสมแก่สภาพของนักเรียน กฎกระทรวงฉบับที่ 1 ระบุว่า
1.    นักเรียนชายไว้ผมยาว โดยไว้ผมข้างหน้าและกลางศีรษะยาวเกิน 5 เซนติเมตร และชายผมรอบศีรษะไม่ตัดเกรียนชิดผิวหนัง หรือไว้หนวดหรือเครา
2.    นักเรียนหญิงตัดผมหรือไว้ผมยาวเลยต้นคอ หากโรงเรียนหรือสถานศึกษาใดอนุญาตให้ไว้ยาวเกินกว่านั้นก็ให้รวบให้เรียบร้อย
กฎกระทรวงฉบับที่ 2 แก้ไขเป็น
1.    นักเรียนชายตัดผมหรือไว้ผมยาวจนด้านข้างและด้านหลังยาวเลยตีนผมหรือไว้หนวด ไว้เครา
2.    นักเรียนหญิงตัดผมหรือไว้ผมยาวเลยต้นคอ หากโรงเรียนหรือสถานศึกษาใดอนุญาตให้ไว้ยาวเกินกว่านั้นก็ให้รวบให้เรียบร้อย
ดังนั้นโรงเรียนต่าง ๆ จึงอาจมีระเบียบในเรื่องทรงผมที่แตกต่างกันได้ในรายละเอียด แต่ส่วนใหญ่นักเรียนชายมักจะให้ตัดผมสั้นเกรียน และนักเรียนหญิงมักจะให้ตัดผมสั้นในช่วงติ่งหูถึงปกเสื้อนักเรียน
ทว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะสังคมไทยกำหนดให้นักเรียน (ในปัจจุบันอาจจะเหลืออยู่เพียงโรงเรียนของรัฐ) ที่ต้องไว้ทรงเกรียนเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยมาอย่างยาวนาน หากจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ก็จะถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญยิ่งของสังคมไทย ดังนั้นคงไม่แปลกที่จะมีผู้แสดงความคิดเห็นที่หลากหลายต่อสถานการณ์ดังกล่าว
นี่เป็นภาพการ์ตูนที่วาดจำลองเหตุการณ์ เมื่อมีการยกเลิกทรงเกรียนของนักเรียนไปแล้ว คงไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมจากภาพๆนี้

คณะกรรมการพิจารณายกร่างกฎกระทรวง ในเรื่องทรงผมนักเรียน ที่กำลังจะถูกตั้งขึ้น ต้องประเมินให้ถี่ถ้วนว่า การมีอยู่ของทรงเกรียน ส่งผลดี หรือ ผลเสีย ต่อสังคมไทย
_______________________________

วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ผอ.ประชาไท ชี้ นักข่าวพลเมืองยังไม่ถึงขั้น กำหนดวาระข่าวได้



ผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไท กล่าวในวงเสวนา ใครใครก็เป็นนักข่าวได้ ? ว่าทุกวันนี้ถึงแม้หลายหลายจะเกิดจากประชาชน หรือที่มักเรียกกันว่านักข่าวพลเมืองพลเมือง แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นที่จะกำหนดวาระของข่าวสารได้ เมื่อสื่อมวลชนกระแสหลัก


วงเสวนาใครใครก็เป็นนักข่าวได้ จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยเนชั่น ศูนย์เนชั่นบางนา โดยมีนายนพภัฒจักษ์ อัตตนนท์ ดำเนินรายการ และมีนายจักร์กฤษ เพิ่มพูน ประธานสภาการหนังสือพิมพ์ แห่งชาติ นายเดชชาติ พวงเกษ บล็อกเกอร์ราษีไศล นางจีรนุช เปรมชัยพร ผอ.เว็บประชาไท และนายณัฐชัย ตั้งวงวิวัฒน์ ตัวแทน นศ. ม.เนชั่น ร่วมวงเสวนานี้

นายจักร์กฤษ พูนเพิ่มเปิดประเด็นว่า ทุกวันนี้ปรากฎการณ์นักข่าวพลเมือง ที่เกิดขึ้นจากความสะดวกสบายของเทคโนโลยีการสื่อสาร ทำให้นักข่าวพลเมือง หรือประชาชน สามารถกำหนดวาระข่าวสารได้เอง โดยแย้งกับทฤษฎีอะเจนด้าเซตติ่ง ทฤษฏีสื่อสารมวลชน ที่มีอยู่ในตำรานิเทศศาสตร์

ขณะที่ นางจีรนุช เปรมชัยพร ชี้ว่า ทุกวันนี้นักข่าวพลเมือง ยังคงไม่สามารถที่จะกำหนดวาระข่าวสารเองได้ เพราะ สื่อที่มี อย่างโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ก มีผู้ติดตามอยู่จำนวนไม่มาก และอยากเห็นความเชื่อมโยง ถ่ายเทข้อมูล ระหว่างนักข่าวมืออาชีพ และ นักข่าวพลเมืองมากขึ้น เพราะจะเกิดประโยชน์ต่อประชาชน
----------------------------------

วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ทำดีไว้ไม่เสียหาย เวลาตายจะได้มีคนพูดถึง



แสงอาทิตย์แรกของเช้าวันที่ 2 ธันวาคมปรากฎขึ้นพร้อมๆกับเสียงสวดมนต์ของญาติธรรม ที่มาปฏิบัติธรรมตั้งแต่คืนก่อน ในวันบูรพาจารย์ ที่วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จังหวัดนครราชสีมา

คุณลุงจีรศักดิ์ งามเกษร วัย 60 ปี กำลังขมักเขม้น กับการทำกระเพาะปลา เพื่อถวายภัตตาหารเช้าแด่พระสงฆ์ และบริการกับผู้มาปฏิบัติธรรม พร้อมทั้งชาวบ้านคนอื่นๆที่มาร่วมงาน
ลุงจีรศักดิ์ ทำอาหารเลี้ยงพระ และผู้ปฏิบัติธรรม พร้อมทั้งชาวบ้านแบบนี้ มาเป็นเวลาสิบแล้ว ที่น่าสนใจคือวัดที่คุณลุงเลือกไปทำอาหาร จะสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ตามจิตอธิฐานของคุณลุง

คุณลุงยืนยันว่าจะทำแบบนี้ต่อไป หากยังไหวและมีแรงทำอยู่

ในปีนี้ คุณลุงเลือกที่จะทำบุญ ที่วัดป่าสาลวัน ในวันบูรพาจารย์ เพราะว่าวันนี้เป็นวันที่ ทั้งพระและชาวบ้านช่วยกันจัดงาน โดยมีกิจกรรมหลักเป็นการนั้งสมาธิ เดินจงกลม สวดมนต์ ฟังธรรม เพื่อเป็นการปฏิบัติบูชา ระลึกนึกถึงพระคุณเจ้าแต่ละรูปที่ได้ร่วมสร้างและปฏิบัติธรรมยังวัดป่าสาลวัน ซึ่งล้วนเป็นพระที่สร้างคุณูปการให้กับวงการศาสนาอย่างใหญ่หลวง อาทิ หลวงปู่เสาร์ กันตะสีโล หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม พระอาจารย์พร สุมโน และหลวงพ่อพุธ ฐานิโย พระคุณเจ้าทุกรูปดังที่กล่าวมานี้ล้วนแล้วแต่เป็นที่นับถือศรัทธาของสาธุชนอย่างไม่เสื่อมคลาย แม้จะมรณภาพละสังขารไปแล้วก็ตาม
พระอาทิตย์เริ่มบ่ายคล้อย คุณลุงว่างเว้นจากการทำอาหาร จึงถือโอกาสเข้าไปนมัสการพระครูสุทธิวรญาณ รักษาการเจ้าอาวาสวัดป่าสาลวัน ท่านเล่าให้ฟังว่า ปีนี้คนมางานวันบูรพาจารย์น้อยกว่าปีก่อนๆ 

คงจะเป็นความจริงดังคำสอนที่ว่า  “วัวควายและช้าง เมื่อตายลงแล้วมีฟันและเขาทั้งสองข้างเหลืออยู่ ส่วนมนุษย์ เมื่อตายทุกสิ่งในร่างกายสิ้นไป จะคงเหลือก็แต่ความชั่ว หรือความดี คงอยู่ในโลก” ดังเช่น พระคุณเจ้าหลายๆรูป ที่แม้จะมรณะภาพไปแล้ว แต่ยังทิ้งคุณงามความดีให้ชาวบ้านได้ระลึกนึกถึง
______________________________

วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ทึ้ง! พระลำปางเลี้ยงหมา-แมว 800 ชีวิต... เหตุเพราะมีคนเอามาปล่อย



ที่วัดเวฬุวนาราม ตำบลแม่ทะ  อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง ดูเผินๆก็ไม่ต่างอะไรจากวัดทั่วๆไป แต่เดินเข้าไปไม่กี่ก้าว เสียงสุนัข และแมวจะเห่าหอนดังระงม เพราะมีจำนวนอยู่รวมกันมากกว่า 800 ตัวเข้าไปแล้ว

คนเรานี่ก็ชั่งไม่กลัวบาป .. กลัวกรรม เอาสุนัข เอาแมวมาปล่อยวัด ผลักภาระของตัวเอง ให้กับพระคุณเจ้า อย่าง พระมหาวิชัย อคคเตโช เจ้าอาวาสวัดเวฬุวนาราม ท่านนี้ที่ต้องเลี้ยงดูสัตว์ที่ถูกทิ้ง ด้วยความสงสาร ทั้งๆที่ตนเองก็ไม่ได้นิยมสุนัข หรือแมวมากนัก แต่เพราะท่านมีเมตตาสูงจะปล่อยให้อดข้าวตายก็ไม่ใช่เรื่อง


เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เพื่อนของผม ที่ม.เนชั่นลำปาง ทำเป็นสกู๊ปส่งมาให้ที่ กรุงเทพออกออกอากาศในช่อง NationUTV ทีวีที่มหาวิทยาลัยเนชั่น นั่นแหละครับ และผมเองก็ได้มีโอกาส สัมภาษณ์ทั้งเพื่อนคนที่ทำสกู๊ป และพระมหาวิชัย อคคเตโช  ที่ท่านเล่าว่าต้องติดป้ายอธิบายว่าถ้าจะเอาสนุขและแมวมาปล่อยต้องทำอย่างไรบ้าง แทนที่จะติดป้ายห้ามไปแล้วครับ เพราะห้ามยังไงก็ห้ามไม่อยู่

ท่านเล่าต่อว่าทุกวันนี้ ต้องจ้างชาวบ้านมาดูแล ขยำข้าวให้ทั้งสุนัข และแมวทุกเช้า แถมตัวท่านเองยังต้องซื้อวัคชีนต่างๆมาฉีดสุนัข และแมวที่วัดด้วยเงินของท่านเอง โดยหน่วยงานราชการท้องถิ่น โดยเฉพาะกรมปศุสัตว์ เข้ามาดูแลเพียง ปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น ลองฟังเสียงท่านดูครับ ... (ชมคลิป) 


ถึงตรงนี้ท่านใดต้องการจะทำบุญ ช่วยเหลือสุนัขและแมว ที่มีคนมาปล่อยทิ้งไว้ตกเป็นภาระของพระคุณเจ้า ก็สามารถช่วยท่านได้ครับ ทางช่องทางต่างๆดังนี้




วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

“ทำแค่นี้ยังน้อยไป กับที่ในหลวงทำให้ประชาชน”



(ชมคลิป) 

แม้จะเป็นเวลาตี 2 ที่ปกติผู้คนพากันหลับไหล แต่ในวันนี้ ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า บรรยากาศกลับไม่ต่างอะไรกับช่วงหัวค่ำ ผู้คนยังคึกคัก หลั่งไหลมาจับจองพื้นที่ เพื่อให้สามารชมพระบารมีได้อย่างไกล้ชิดในโอกาสที่ในหลวง เสด็จออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต
พี่เอ มยุรี ธิยาเวศ ลูกเสือชาวบ้าน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา เป็นประชาชนอีกคนหนึ่งที่มาจับจอบพื้นที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ตั้งเวลาตี 2 ครึ่ง ที่น่าสนใจคือเธอไม่ได้มาคนเดียว แต่พาลูกอีก 2 คนของเธอมาร่วมแสดงความจงรักภักดีด้วย


เธอเล่าว่า บ้านเขาหินซ้อน จังหวัดฉะเชิงเทราซึ่งเป็น บ้านเกิดของเธอ ดินเสื่อมโทรมอย่างหนักเพราะชาวบ้านใช้ปุ๋ย และสารเคมีในการทำเกษตรกรรมมาอย่างยาวนาน เมื่อดินแย่จนไม่สามารถจะทำเกษตรกรรมต่อไปได้ ชาวบ้านจึงถวายฎีกาให้ในหลวง จึงทรงพระราชทานแนวทางในการแก้ไขปัญหาดินเสื่อมโทรม นั่นคือการแกล้งดิน แก่กรมพัฒนาที่ดินให้ปัญหาปัญหานี้แก่ชาวบ้านต่อไป


เธอบอกด้วยว่าการที่เธอมาเฝ้ารอในหลวงตั้งช่วงตี 2 เพื่อที่ท่านจะเสด็จออกสีหบัญชรในเวลาสิบโมงเช้า ที่จะถึงยังน้อยไปด้วยซ้ำกับความยากลำบากที่พระองค์ทรงงานอย่างหนักเพื่อความอยู่ดี มีสุขของราษฎร

แสงอาทิตย์แรกของวันที่ 5 ธันวาคม ปรากฎขึ้นพร้อมๆกับจำนวนคนที่เนืองแน่นเต็มลานพระบรมรูปทรงม้า ในขณะเดียวกันประชาชนที่เดินทางมาตั้งแต่เมือคืนรวมทั้งพี่เอและลูกๆ ก็มีความพยายาม อดทนรอที่จะชมพระบารมีและฟังกระแสพระราชดำรัสของในหลวง ในช่วงสายของวันนี้ แม้จะได้งีบหลับไปเพียงชั่วโมงเดียวก็ตาม




ช่วงเวลาเก้าโมงเช้า ภาพการถ่ายทอดสดพระราชพิธีก็เริ่มปรากฎขึ้นบนจอ LED ขนาดใหญ่ ที่เจ้าหน้าที่ได้จัดเตรียมไว้  ประชาชนซึ่งใส่เสื้อสีเหลืองอร่ามเต็มลานพระบรมรูปทรงม้า ก็เริ่มโบกธงชาติ และธงจปร. พร้อมเปล่งเสียงทรงพระเจริญ รวมทั้งน้องเปตอง ลูกของพี่เอก็ร่วมเปล่งเสียงเล็กๆ ของเขาออกมาด้วยเช่นกัน



ต่อมาเวลาสิบโมง เสียงจอกแจ จอแจที่ดังขึ้นมาตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมาเงียบลงทันที เงียบลงเพื่อฟังพระสุรเสียงของในหลวง
ทั้งหมดนี้เป็นคำตอบที่ชัดเจน เป็นหลักฐานที่ยืนยันว่า คนไทย รักในหลวงด้วยสาเหตุใด และจงรักภักดีต่อพระองค์ท่านมากเพียงใด





-------------------------------------------------

วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ครูชายแดนใต้ที่เหลืออยู่...คือครูที่มีแต่อดุมการณ์ทั้งนั้น



“ครูที่เหลืออยู่คือครูที่มีแต่อดุมการณ์ทั้งนั้น” นี่คือคำให้สัมภาษณ์ของคุณปกรณ์ พึ่งเนตร บรรณาธิการศูนย์ใต้สำนักข่าวอิสรา และผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ หลังเกิดเหตุการณ์ลอบวางเพลิงเผาโรงเรียนหลายแห่งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และมีครูถูกลอบทำร้ายจนเสียชีวิต และบาดเจ็บสาหัส



8 ปีมาแล้วท่ามความความไม่สงบในพื้นที่ มีครูเสียชีวิตไปแล้วกว่า 150 ราย และบาดเจ็บอีกจำนวนมากโรงเรียนโดยเฉพาะโรงเรียนของรัฐกลายเป็นเป้าในการก่อเหตุของกลุ่มผู้ก่อการร้ายเพียงเพื่อการโจมตีเชิงสัญลักษณ์ หากแต่นั่นกลับทำให้เด็กๆที่ไม่รู้อิโน่อิเน่ และครูที่ในมือมีเพียงช็อคเขียนกระดาน ได้รับผลกระทบ ที่รุนแรงและเจ็บปวด

ว่ากันว่าปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ตอนนี้ ยิ่งมีความซับซ้อนมากขึ้น กลุ่มผู้ก่อการร้ายแตกกันเองจนมีหลายกลุ่ม และต่างเป้าหมายกันออกไป ไม่ใช่เพียงต้องการแบ่งแยกดินแดน ไม่ใช่เพียงความเข้าใจที่บิดเบือนในหลักศาสนา และไม่ใช่เพียงความเจ็บปวดที่ตำรวจกระทำความรุนแรงในเหตุการณ์มัสยิสกรือเซะ และเหตุการณ์ตากใบ สาเหตุเหล่านี้รวมรวมกัน ยิ่งทำให้ปัญหาเหมือนเชือกที่ผูกปมหลายตลบ จนยากจะที่แก้ออกมา

ปมเชือกที่ผูกกันจนแน่ ก็ยังคงมีความพยามจากกองทัพที่ดูแลในพื้นที่ ในการแก้ปมเชือกเหล่านั้นออกมา ด้วยวิธีการทำความเข้าใจกับชาวบ้าน ให้ชาวบ้านให้ความร่วมในการสร้างสันติในเกิดขึ้น เพราะชาวบ้านเองนั่นแหละที่เป็นผู้รู้เรื่องดีที่สุด คำว่า “โจร 5 นาที” จะได้จางหายไปด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน

------------------------------------------

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ในม็อบเสธอ้าย ใครแพ้ ใครชนะ




ป้านิด รัตนา กาญจน์แก้ว กับป้านวย กัฐลี ชูรัตน์ เป็นเพื่อนกัน เช้าของวันที่ 24 พฤศจิกายน (2555) พวกเธอชวนกันมาชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาล ร่วมกับองค์การพิทักษ์สยาม ซึ่งมีผู้ชุมนุมคนอื่นๆทยอยเข้ามาสมทบ ท่ามกลางการคุ้มกันของเจ้าหน้าตำรวจอย่างเข้มงวด
ป้านิดเป็นคนจังหวัดขอนแก่น เธอบอกว่ามีเพื่อนหลายคน อยู่ในที่ชุมนุม ก็ชวนๆกันมา
และถึงแม้ว่าในช่วงเก้าโมงเช้าที่ผ่านมา ตำรวจได้เริ่มกระชับพื้นที่ และใช้แก็สน้ำตากับผู้ชุมนุมบ้างแล้ว เธอก็ไม่ได้แสดงความหวาดกลัวออกมาให้ผมเห็น
ผมนั่งคุยกับป้านิด ลองถามเธอดูว่าคิดอย่างไรกับปรากฎการณ์ที่เมื่อครั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็มีกลุ่มนปช.ออกมาต้าน แล้วพอช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็มีม็อบองค์การพิทักษ์สยามออกมา ดูเหมือนว่าต่างคนต่างมีฐานกำลังของตนเอง แล้วบ้านเมืองจะปรองดองได้อย่างไร ? ป้านิดยอมรับว่า “ไม่ว่าจะกลุ่มไหนก็มีผลประโยชน์กันทั้งนั้น ให้ดูว่ากลุ่มนั้นถือประโยชน์ส่วนรวม หรือประโยชน์ส่วนตน”

ส่วนป้านวย มาจากจังหวัดนนทบุรี และมาเจอกับเพื่อนในซอยเดียวกันในที่ชุมนุม วันนี้กันเธอถึงขั้นลงทุนเช่าโรงแรมไว้เป็นที่พัก ผมขอดูกระเป๋าของป้านิดว่าเธอเอาอะไรมาชุมนุมบ้าง ก็เห็นจะมีเพียงมือปรบ ยาดม ขนมขบเคี้ยว และน้ำดื่ม ในขณะเดียวกันตลอดเวลาที่เรานั่งคุยกัน ก็จะคนมาเดินแจกหน้ากากอนามัย และซีดีเกี่ยวกับองค์การพิทักษ์สยามอยู่เป็น พักๆ เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าการใช้แก็สน้ำตารอบสอง กำลังจะเกิดขึ้นตามมาในช่วงบ่าย
หลังจากนั้นผมก็แยกจากป้านิด และป้านวยเพื่อเดินสำรวจ สังเกตุการณ์ การชุมนุม พบว่าเวทีหลักขององค์กรพิทักษ์สยาม ตั้งอยู่ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า และจำนวนผู้ชุมนุมมียาวมาถึงแยกมิสกวัน
ขณะเดียวกันมีข่าวมาว่า บ่ายสองโมงที่แยกมิสกวันนั้น กลุ่มผู้ชุมนุมจากลานพระบรมรูปทรงม้าคือที่ที่ผมสังเกตการณ์อยู่ จะดันเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเปิดทางให้กลุ่มผู้ชุมนุมจาก สะพานมัฆวานมาสมทบ ผมจึงรีบไปที่ดูทันที



สถานการณ์เริ่มตรึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ หลังตำรวจยกโล่ห์ป้องกัน พร้อมกับขยับไปมา เพื่อข่มขวัญผู้ชุมนุม ขณะเดียวกันผู้ชุมนุมก็มีอารมณ์เกลี้ยวกราดมากขึ้น และช่วยกันดันเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนกระทั้ง บ่ายสองโมงเศษๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจตัดสินใจใช้แก็สน้ำตาเพื่อสะกัดพื้นที่


ถึงนาทีนี้ ผมอดนึกถึงป้านิด กับป้านวยไม่ได้ ไม่รู้ว่าพวกเธอเข้ามาอยู่ในเขตที่มีการปะทะกันหรือไม่ เพราะอายุของเธอทั้ง 2 ก็มากแล้ว ไม่เหมือนตัวผมกับช่างภาพซึ่ง อายุเพียง 19 ปี ยังคงมีแรงวิ่งหนีเอาตัวรอด
แต่ถึงกระนั้นผมและน้องช่างภาพก็หลีหนีไม่พ้นควันจากแก็สน้ำตา และพยามวิ่งออกมาพร้อมๆกับผู้ชุมนุม ในวิกฤตช่วงนั้น ยังคงมีความประทับใจดีดีครับ เพราะว่าผมได้แบ่งน้ำในขวดให้กับลุงๆป้าๆไปหลายคน ที่แสบตาจากแก็สน้ำตา แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่เป็นช่วงเวลาที่พอจะบรรเทาความเจ็บปวดของพวกเขาได้บ้าง การแบ่งปันเป็นสิ่งที่สวยงามเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ ที่ใด เวลาใด และสถานการณ์ใดก็ตาม

การชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม จบลงเร็วกว่าที่คาดคิด หลังเสธอ้าย พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ แกนนำของกลุ่มประกาศยุติการชุมนุม โดยอ้างว่าเพื่อรักษาชีวิตของพี่น้องประชาชน
ทุกวันนี้ผมยังตอบตัวเองไม่ได้ว่า ทุกครั้งที่มีการชุมนุมทางการเมือง และทุกครั้งการมีการเผชิญกันระหว่างรัฐกับประชาชน ใครคือผู้แพ้ และใครคือผู้ชนะ แต่เห็นที่เห็นอยู่ตรงหน้าในวันนี้ คือบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่าย และข้าวของที่เสียหายไปเท่านั้น

-------------------------------------------------------------------------------------------

วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

จะเอาอะไรนักหนากับชาวบ้านมือเปล่า *เหตุเกิดที่เทือกเขาบรรทัด




จะเอาอะไรนักหนากับชาวบ้านมือเปล่า *เหตุเกิดที่เทือกเขาบรรทัด

ชุมนุมก็แล้ว รวมตัวเป็นเครือข่ายก็แล้ว ยื่นหนังสือต่อผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองก็แล้ว ก็ยังไม่จบไม่สิ้น ต้องให้ชาวบ้านตะโกบอกกี่รอบว่า พวกฉันเนี่ยอยู่ตรงนี้มานาน แล้วก็ไม่เคยทำลายป่าไม้ เหมือนพวกนายทุน ที่ดูเหมือนจะใช้อำนาจเงินปิดหูปิดตาเจ้าหน้าที่ บุกรุกป่าไม้ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า
จังหวะนี้ผมจะชวนคุณผู้อ่านมาดูวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านเทือกเขาบรรทัดเขาครับ

 ทำไมกรมอุทยานแห่งชาติฯ กรมป่าไม้ จึงต้องตัดฟันพืชผลการเกษรตรของชาวบ้านเทือกเขาบรรทัด ซึ่งเป็นพื้นที่เตรียมการออกโฉนดชุมชนแท้ๆ

ย้อนกลับไปเมื่อสมัยรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ มีการออกนโยบายโฉนดชุมชนให้กับชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในป่า แต่กระทรวงทรัพย์ฯ ก็ไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าวนะครับ เพราะกลัวว่า ถ้าทำโฉนดชุมชนไปแล้วจะเป็นการเปิดทางให้มีการบุกรุกพื้นที่ป่า เพื่อขอโฉนดชุมชนต่อไปเรื่อยๆ

แต่ว่านโยบายโฉนดชุมชนนั้นจริงๆ คือถึงแม้จะออกโฉนดชุมชนไปแล้ว แต่ที่ดินยังเป็นของรัฐอยู่เหมือนเดิม คนที่เข้าไปครอบครอง จะได้สิทธิเฉพาะการทำเกษตรเท่านั้น จะเอาที่ดินไปจำนอง จำนำ ถ่ายโอนใดๆ ไม่ได้ เพราะใช่กรรมสิทธิ์ส่วนตัว แต่เป็นกรรมสิทธิ์ร่วมของชุมชน

แปลว่านี้ เป็นการเข้าใจผิดระหว่างรัฐกับรัฐ แล้วเดือดร้อนมาถึงประชาชน ...

นอกจากนี้มีการวิเคราะห์กันว่า หรือนี่จะเป็นเรื่องการเมือง เพราะจังหวัดตรัง เป็นพื้นที่ของพรรคประชาธิปัตย์ อีกทั้งนโยบายโฉนดชุมชนก็เป็นนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ แล้วเมื่อพรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาล ก็เลย ...เอ่ออออ ... หรือเปล่า      

ทำไมเป้าหมายการปราบปรามขบวนการบุกรุกป่าของกรมอุทยานแห่งชาติฯ  จึงเล็งมาที่เทือกเขาบรรทัด

เป็นไปได้มั๊ยว่า เพราะแกนนำเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ซึ่งมีบทบาทมากในการเรียกร้อง และเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง มีฐานหลักอยู่ที่เทือกเขาบรรทัด ...

เอาล่ะครับ ไม่ว่าจะอย่างไรก้ตาม การบุกรุกพื้นที่เช่นนี้ของรัฐ ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าชาวบ้านอาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ก็ถือเป็นการละเมิดสิทธิชุมชน ที่ร้ายแรงเป็นอย่างยิ่งครับ

/////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การต่อสู้ของชาวบ้านเทือกเขาบรรทัด จ.ตรัง



การต่อสู้ของชาวบ้านเทือกเขาบรรทัด จ.ตรัง


 การเผชิญหน้ากันระหว่างชาวบ้านกับ กองกำลังเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ เกิดขึ้นที่เทือกเขาบรรทัด จังหวัดตรัง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า สาเหตุเป็นเพราะต่างฝ่ายต่างเข้าใจไม่ตรงกัน กรมอุทยานแห่งชาติ หรือกรมป่าไม้ก็ดี มักอ้างว่า พื้นที่ที่ชาวบ้านอาศัยอยู่ และทำเกษตรกรรมอยู่นั้น เป็นพื้นที่ที่ถูกประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ หมายความว่าห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปอาศัยอยู่ หรือทำเกษตรกรรม ฉะนั้นจะถือว่าบุกรุกพื้นที่ มีความผิดทางกฎหมาย

ขณะที่ชาวบ้านบอกว่า พวกเขาอยู่แล้วบนที่ดินตรงนี้ ที่เทือกเขาบรรทัดมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ นั่นหมายความว่า อยู่ในพื้นที่นี้มาก่อนที่จะถูกรัฐประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ เรื่องนี้ดูเหมือนว่าชาวบ้านจะไม่ได้รับความเป็นธรรม ที่ถูกรัฐประกาศเขตอุทยานแห่งชาติโดยไม่ดูตาม้า ตาเรือ
แน่นอนว่าเมื่อความเข้าใจไม่ตรงกัน ก็ทำให้เกิดการเผชิญหน้า ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา มีการส่งกองกำลังเจ้าหน้าที่ป่าไม้ และ ตชด. 1,500 นายมาตัดฟันสวนยางพาราเกษตรรายย่อยไปแล้วหลายร้อยไร่

และที่ผ่านๆมาชาวบ้านก็ไม่ได้นิ่งดูดาย การต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมที่พวกเขาได้รับ ช่างกล้าหาญและน่ายกย่องเป็นอย่างยิ่ง

ช่วงนี้ผมจะพาคุณผู้อ่านมาดูการต่อสู้ของชาวบ้านบางช่วงบางตอนนะครับ ผมครอปมาจะเฟซบุ๊คของคุณฮาริ บัณฑิตา ซึ่งอยู่ในพื้นที่ คอยรายงานข่าวสารผ่านทางช่องทางนี้ครับ (เมื่อวันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม



นอกจากนี้ แล้วการต่อสู้ของชาวบ้านกลุ่มนี้มีการรวมตัวกันเป็นเครือข่าย ชื่อว่า “เครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด” ก็มีการยื่นหนังสือถึง สส.จังหวัดตรัง คุณสาธิต วงษ์หนองเตย ให้ตรวจสอบนโยบายรัฐบาลด้วยครับ



เรื่องนี้ยังไม่จบง่ายๆ  มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนเป็นอย่างยิ่ง พรุงนี้เราจะมาดูกันต่อครับว่าทำไมจึงต้องเจาะจงมาที่เทือกเขาบรรทัด แล้วชาวบ้านเขามีวิถีชีวิตอยู่กับป่าอย่างไร บุกรุกป่าจริงหรือไม่ 

///////////////////////////////////////// 

วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555

โจรใจบาปตัดสายไฟวัดศรีเอี่ยม ยังลอยนวล



โจรใจบาปตัดสายไฟวัดศรีเอี่ยม ยังลอยนวล

ป้าบุญเลี้ยง แซ่ตัน ขายกับข้าวอยู่หน้าวัดศรีเอียม ย่านบางนา กรุงเทพมหานคร มาเป็นเวลาหลายปี และเมื่อ 2 เดือนก่อน ในขณะที่ป้าบุญเลี้ยงกำลังทำกับข้าวให้ลูกค้า ที่มาใช้บริการตามปกติ ก็มีกลุ่มคนใส่ชุดคล้ายเจ้าหน้าที่ติดตั้งเคเบิ้ล ขอขึ้นไปบนเสาไฟ

ในปีนี้วัดศรีเอี่ยมถูกโจรตัดสายไฟมาแล้วถึงสองครั้ง ครั้งแรกถูกตัดในตอนกลางวันแสกๆ และครั้งที่สองถูกตัดในตอนกลางคืน

เมื่อถูกโจรตัดสายไฟหน้าวัด และสร้างความเดือดร้อนมาแล้วถึง 2 ครั้ง ก็ทำให้ทั้งพระ และชาวบ้านเริ่มกังวลว่า จะมีครั้งที่ 3 และ 4 ตามมาหรือไม่

เราเดินทางไปสอบถามเรื่องนี้กับเจ้าหน้าที่ตำตรวจฝ่ายสืบสวนสอบสวน สน.บางนา ตำรวจให้ข้อมูลเพียงว่า เจ้าอาวาสวัดศรีเอี่ยมเพียงแค่โทรมาบอกกับ ผกก.สน. แต่ไม่ได้มาแจ้งความไว้แต่อย่างใด จึงไม่ขอให้สัมภาษณ์กับเรา และบอกด้วยว่าตำรวจได้เคยลงพื้นไปตรวจสอบแล้ว ยอมรับว่าจับคนร้ายได้ยาก

ปัจจุบันทั้งชาวบ้านและพระสงฆ์ ต้องช่วยกันสอดส่องดูแลชุมชนกันเอง โดยสังเกตคนที่มีพฤติกรรมแปลกๆ ป้วนเปี้ยนแถวเสาไฟฟ้าก็ต้องเข้าไปไถ่ถาม และไม่ปล่อยปะเลยให้คนที่แอบอ้างว่าเป็นหน่วยงานบริการต่างๆขอขึ้นเสาไฟฟ้าโดยง่าย เป็นไปได้ต้องขอดูบัตรยืนยัน


/////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ทำไมโอลิมปิกปีนี้ไทยได้เหรียญน้อย




ทำไมโอลิมปิกปีนี้ไทยได้เหรียญน้อย

10 สิงหาคม 2555 19:45 น.คนไทยมีลุ้นเหรียญทองแรกในการแข่งขันโอลิมปิกในครั้งนี้ เพราะแก้ว พงษ์ประยูรสามารถชกชนะบัลแกเรียเพื่อเข้าชิงเหรียญทองกับรัสเซียได้เป็นผลสำเร็จ

ผมสงสัยครับว่า เหตุใดปีนี้ไทยสามารถทำเหรียญได้น้อยกว่าปีที่ผ่านมา

ไปค้นดูสถิติเก่าๆ ก็พบว่าไทยเคยได้เหรียญทองสูงสุดในการแข่งขันโอลิมปิก  3 เหรียญ ในสมัยรัฐบาลคุณทักษิณ และในรัฐบาลสมัครเราได้ 2 เหรียญทอง

ในพันทิพก็ไม่พลาดที่จะตั้งกระทู้ในเรื่องนี้ บ้างบอกว่าเป็นเพราะการเมืองของเราไม่นิ่ง  บ้างบอกว่าคู่แข่งของเราเก่งขึ้น แต่ที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด คือการกีฬาแห่งประเทศไทยทำงานไม่เป็นระบบ เพราะนักกีฬาบางคนไม่มีโค้ชตามไปด้วย หรือถึงขั้นขนาดต้องลงทุนซื้อม้าเพื่อแข่งขันก็มี ต้องยอมรับว่าปีนี้เราไปแบบยาจก

มวยสากลเป็นกีฬาที่ถูกคาดหวังว่าอาจทำเหรียญทองให้ไทยได้บ้าง แต่ปีนี้กลับทำได้ไม่ดีนัก มีการวิเคราะห์กันถึงสาเหตุว่า เป็นเพราะสมาคมมวยแห่งประเทศไทย กำลังมีปัญหากับไอบ้า จึงทำให้ไทยไม่ได้ไปแข่งขันชกมวยกับต่างชาติอื่นมาก่อนหน้าการแข่งขันโอลิมปิก เราจึงไม่รู้ทางมวยของต่างชาติ และทำให้เราไม่สามารถทำผลงานได้ดีนัก

การพัฒนาคนในประเทศถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงด้วยเช่นเดียวกัน โดยเปรียบเทียบอย่างประเทศฮังการี และคาซัคสถานซึ่งมีจำนวนประชากรราว 15 ล้านคน แต่สามารถกวาดเหรียญทองโอลิมปิกครั้งนี้ไปแล้วถึง 6 เหรียญ ในขณะที่ประเทศไทยมีจำนวนประชากรราว 60 ล้านคน แต่ยังไม่สามารถคว้าเหรียญทองได้ในขณะนี้ แต่อีกด้านหนึ่งมองว่าฮังการีเอย คาซัคสถานเอย เขาตัวใหญ่กว่าเรา ทำให้เราเสียเปรียบ

และมีอีกความคิดเห็นที่น่าสนใจ “ประเทศอย่างภูฏาน อย่างทิเบต ไม่เห็นจะต้องสนใจเรื่องกีฬาเลย ในเมื่อประเทศของเขามีความสุขมวลรวมประชาติสูงที่สุดในโลก


การแข่งขันโอลิมปิกอาจไม่ได้วัดได้ทั้งหมดว่า ประเทศไทยอยู่ตรงไหน แต่อาจวัดได้เพียงบางส่วน เช่นการจัดการระบบของเราอาจไม่ดีพอ แต่ถ้ามองในภาพรวม ไม่ใช่เพียงแต่ระบบการจัดการกีฬาที่ยังไม่ดี ระบบการเมือง ระบบการศึกษา ก็ยังสับสนอยู่เช่นกัน ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ประเทศไทยก็น่าเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่งครับ

วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

บทสรุป - บันทึกการเดินทาง ริมชายฝั่งทะเลอันดามัน กับทีมนักข่าวพลเมือง Thai PBS


บทสรุป - บันทึกการเดินทาง  ริมชายฝั่งทะเลอันดามัน กับทีมนักข่าวพลเมือง Thai PBS


ผมจำได้ว่าสมัยเด็กๆ เห็นรถข่าวไอทีวีวิ่งผ่านก็หวังว่าสักวันจะได้นั้งรถข่าวแบบนี้ออกไปทำข่าวบ้าง และเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของแรงบันดาลใจที่ทำให้อยากเป็นนักข่าว ท่ามกลางความอยากเป็นโน้น อยากเป็นนี้มากมายในตอนที่ตัวเองเป็นเด็ก

มาวันนี้ได้มีโอกาสนั่งรถข่าวไทยพีบีเอสที่มีโลโก้นกติดขนาบข้างนำพาผม และพี่ๆทีมงานรายการพลเมืองผู้เปลี่ยนทิศ Thai PBS เดินทางไกล ไปที่ภาคใต้ เป็นการเดินทางที่สนุกสนาน นอกจากนั้นยังได้เห็นหลายสิ่ง หลายอย่างที่งดงาม และไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งน้ำใจของชาวบ้าน ความพยายามในการเรียนรู้   ขณะอบรมนักข่าวพลเมืองที่จังหวัดตรัง ผมจำได้ว่ามีชาวบ้านบางคนที่ไม่เคยใช้คอมพิวเตอร์มาก่อน แม้แต่เม้าท์ก็ยังใช้ไม่เป็น ผมได้มีส่วนในการช่วยสอน แนะนำจนชาวบ้านคนนั้นเริ่มที่จะใช้เม้าท์เป็นได้ ผมเข้าใจว่าสำหรับคนที่ไม่เคยใช้คอมมาก่อน กับครั้งแรกของการได้ลองใช้ในครั้งนี้ แล้วสามารถเรียนรู้ได้ขนาดนี้ ต้องนับถือว่าพวกเขามีความพยาพยามเป็นอย่างยิ่ง เป็นความพยาพยามที่ไม่ธรรมดาเพราะเกิดจากความต้องการที่จะช่วยเหลือและสื่อสารเรื่องราวในชุมชนของตัวเองให้สาธารณะชนได้รับรู้ ผ่านช่องทางนักข่าวพลเมือง Thai PBS

ผมใช้เวลาที่อยู่จังหวัดตรังเพียง 2 คืนครับ จากนั้นพวกพี่ๆ ทีมนักข่าวพลเมือง Thai PBS ก็เดินทางข้ามทะเลมาที่เกาะลันตาจังหวัดกระบี่ ที่นี่มีชาวอูรักลาโวยอาศัยอยู่  ดูภายนอกก็ดูเหมือนชาวบ้านทั่วไป แต่เมื่อได้สัมผัส ก็พบว่ามีตำนานที่น่าตืนตาตื่นใจ และมีประเพณีควรค่าแก่การอนุรักษ์เป็นอย่างยิ่ง น่าเสียดายถ้าชาวอูรักลาโว้ย ชาวบ้านธรรมดาๆ จะถูกเอารัดเอาเปรียบแบบนี้ต่อไป โดยที่ภาครัฐยังคงไม่เข้าใจ และไม่หยุดฟังเสียงของพวกเขาบ้าง

หลังการเดินทางครั้งนี้ ทำให้ผมแน่ใจว่า เมื่อเรียนจบแล้ว จะต้องเป็นผู้ทำหน้าที่สื่อมวลชนที่มีคุณภาพ นาทีนี้ยังคงจำคำพูดของชาวบ้านคนหนึ่งที่จังหวัดตรังได้ว่า เราไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป เพราะไทยพีบีเอสช่วยเราอนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน สื่อมวลชนทุกสื่อต่างมีอุดมการณ์ที่ดีทั้งนั้น ไม่ว่าจะสื่อสาธารณะ หรือสื่อเสรี แต่จะเป็นรูปธรรมขึ้นได้นั้น ก็มาจากคนในองค์กรมีจิตวิญญาณของสื่อ ที่จะไม่ปล่อยให้ประชาชนโดดเดี่ยวอีกต่อไป 

/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

บันทึกการเดินทาง ริมชายฝั่งทะเลอันดามัน กับทีมนักข่าวพลเมือง Thai PBS ตอนที่ 3 :: จะอยู่ได้อย่างไร ถ้าไร้เสียงทะเล และเกลียวคลื่น


บันทึกการเดินทาง  ริมชายฝั่งทะเลอันดามัน กับทีมนักข่าวพลเมือง Thai PBS
ตอนที่ 3 จะอยู่ได้อย่างไร ถ้าไร้เสียงทะเล และเกลียวคลื่น


ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า เหตุใดกลุ่มคนชาติพันธ์อย่างชาวเขา ชาวเลจะต้องไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐ หรือไม่ก็ถูกเอารัดเปรียบจากพวกนายทุน อย่างที่ทีมงานรายการพลเมืองผู้เปลี่ยนทิศได้ลงพื้นที่มาถ่ายทำ ชีวิตของชาวอุรักลาโว้ยในแถบชายฝั่งทะเลอันดามัน

พี่เดี่ยว ทะเลลึก เล่าประวัติของชาวอูรักลาโว้ยให้ฟังว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว บรรพบุรุษของชาวอูรักลาโวยอาศัยอยู่ที่เกาะฆูนุงฌึรัย ประเทศอินโดนีเซีย ทำมาหากินด้วยการทำประมงจับกุ้ง หอย ปู ปลาจนกระทั้งสังเกตเห็นว่าปลากระเบนราหูมักว่ายไปข้ามฝั่งไปอีกฝั่งหนึ่ง จึงคิดว่าพื้นที่ฝั่งนั้นต้องมีความอุดมสมบูรณ์เป็นแน่ จึงออกเรือ อพยพติดตามปลากระเบนราหูเหล่านั้น จนมาขึ้นฝั่งที่เกาะลันตา จ.กระบี่ของประเทศไทย ชาวอูรักลาโวยเห็นว่าที่นี่อุดมสมบูรณ์ จึงตัดสินใจตั้งถิ่นฐานทำมาหากิน ส่วนปลากระเบนราหูตัวนั้น ก็มาเกยตื้นที่ชายฝั่งทะเลเกาะลันตาเช่นเดียวกัน เวลาผ่านไปนานมาก ปลากระเบนราหูตัวนั้นก็กลายเป็นหิน ชาวอูรักลาโว้ยเรียกว่า สังกะอู้ และด้วยความสำนึกในบุญคุณที่ปลากระเบนราหูนำพวกเขามาตั้งถิ่นฐาน จึงเคารพ และขอพร “สังกะอู้ ก่อนออกไปหาปลากลางทะเลเพื่อความเป็นสิริมงคล และขอให้จับปลาได้เยอะๆ

สิ่งที่ชาวอูรักลาโว้ยกลัวที่สุดอาจไม่ใช่การไม่มีที่ทำกิน และที่อยู่อาศัย แต่เป็นวัฒนธรรมและประเพณีที่อาจจะหายไปพร้อมๆกับการพัฒนาทางธุรกิจ และความเจริญที่มีเข้ามาโดยลืมนึกถึงสิทธิของชุมชน และเห็นแก่ความเป็นเพื่อนมนุษย์

หลายวันที่ผมสัมผัสของความเป็นอยู่ของชาวอูรักลาโวย ก็สงสัยว่าพวกเขาอยู่อย่างมีความสุขหรือ เพราะถ้าไม่นับเรื่องการไล่ที่ทำกิน การเอาเปรียบจากนายทุน ความเป็นอยู่ของพวกเขาไม่ค่อยสะดวกสบายนัก ไม่มีเครืองอำนวยความสะดวกสบายต่างๆ อย่างที่เราเคยชินในชีวิตประจำวัน ผมคุยกับชาวอูรักลาโวย พวกเขาบอกว่าในตอนกลางคืนน้ำทะเลจะขึ้นถึงบ้าน ชื่นเชอะแฉะไปหมด ต้องรอจนกว่าน้ำทะเลลดจึงจะนอนได้ หากแต่นี้ไม่ได้เป็นอุปสรรค์ในการดำเนินชีวิต แต่นี้เป็นวิถีชีวิตของพวกเขา   ว่ากันว่าชาวอูรักลาโว้ยอยู่ไม่ได้ถ้าไร้เสียงทะเล และเกลียวคลื่น...

//////////////////////////