วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2556

ภูกระดึง 2013 ฟังเสียง ธรรมชาติสอน

:: ภูกระดึง 2013 ฟังเสียง ธรรมชาติสอน ::













ออกเดินทางทันที

อากาศที่หนาวเหน็บในช่วงต้นปี ชวนให้เราอยากไปสัมผัสกับความเย็น อยากไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงาม อยากไปสูดอากาศที่บริสุทธิ์ อยากออกเดินทางไปไหนไกลๆ

คุณก็เช่นเดียวกันคงมีความรู้สึกไม่ต่างจากเรา เมื่อลมหนาว มาเยือน

เราชวนกันขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ยอดตึกเนชั่น มันสามารถเห็นพระอาทิตย์ดวงกลมๆ ใหญ่ๆที่ค่อยๆลับขอบฟ้าลงไป ท่ามกลางป่าคอนกรีต และจำนวนรถราที่ช่วงเย็นของทุกวัน มีเพิ่มมากขึ้นจนติดกันยาวเยียด ถึงแม้ว่าเราจะหลบขึ้นมาดูพระอาทิตย์ยามเย็นบนดาดฟ้า แต่ก็หาได้สงบจากเสียงรถ เสียงแตรน ปี้น ปี้น”  เสียงหวอ วี้หว่อ วี้หว่อก็หาไม่ เราคิดว่าถึงคราวแล้วที่เราจะต้องออกเดินทาง

เราคุยกันว่า เราอยากไปภูกระดึง จากคำบอกเล่าของพ่อ แม่ ครูอาจารย์ที่บอกว่า อายุยังน้อยให้รีบไปขึ้นภูกระดึงซะ”  มันเป็นประโยคที่ท้าทายเรามาก เราจึงตัดสินใจที่จะเปลี่ยนที่ดูพระอาทิตย์ตกดินจากตึกเนชั่น แล้วไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูกระดึง ฉะนั้นเราไม่รอแล้ว และจะออกเดินทางกันในคืนนี้
_________________________________________________________________














เช้านี้ที่ภูกระดึง

 เช้าวันรุ่งขึ้น เราก็มาอยู่ที่ภูกระดึงจริงๆ และเริ่มเดินขึ้นภูตอนเวลา 8 โมงเช้า ด้วยอารมณ์ที่คึกคักเป็นพิเศษ ตอนที่อยู่ตีนภูทำให้เรานึกถึงที่มาของชื่อภูกระดึง ว่าถ้าเราเป็นชาวบ้านในสมัยโบราณ เราคงจะได้ยินเสียงระฆังดังมาจากยอดภู เพราะตามคำร่ำลือเชื่อว่ามีพระอินทร์ที่อยู่บนภูนี้ ที่ตีระฆังให้เกิดเสียงดังลงมาด้านล่าง ชาวบ้านจึงเรียกว่า ภูกระดึงเพราะ ภู คือภูเขา กระดึง คือกระดิ่ง ซึ่งภาษาพื้นเมืองจังหวัดเลยแปลว่า  “ระฆังใหญ่

นั่นเป็นที่มาของชื่อ ที่ชาวบ้านพากันเรียกขาน แต่หากจะกล่าวถึงความเป็นมาของภูเขาอันน่าอัศจรรย์แห่งนี้ คงต้องย้อนกลับไปในมหายุค Mesozoic(เมสโอโซอิก)  ซึ่งเป็นยุคที่พื้นโลกเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง

ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 300 ล้านปีก่อน บริเวณที่ราบสูงภาคอีสานเคยเป็นทะเล และมีการตกตะกอนทับถมของดินทราย กลายเป็นชั้นหินชุดต่างๆ

ต่อมาเมื่อประมาณ 250 ล้านปีที่แล้ว เปลือกโลกเกิดการโก่งและโค้งตัวทำให้พื้นที่แห่งนี้ ยกตัวสูงขึ้นเป็นเทือกเขาหินทรายขนาดใหญ่

ทั้งนี้ ธรรมชาติได้ใช้เวลานับล้านปี กัดเซาะหินทรายจนผุ กร่อน สลายลง คงเหลือเฉพาะชั้นหินอันแข็งแกร่งที่ตั้งตระหง่านเย้ยฟ้าท้าดิน ดังเช่นภูกระดึงแห่งนี้ ที่ปรากฎให้เห็นในปัจจุบัน
_________________________________________________________________














ป้าหนูพิณ เป็นเพียงแม่ค้าภูกระดึงจริงหรือ ?

เราเจอกับป้าหนูพิณ  บุญฉิม วัย 60 ผู้นี้ ที่ก้าวเดินอย่างช้าๆ พร้อมกับ หาบของขึ้นมาขายบนภูกระดึง บริเวณซำแฮก มาเป็นเวลา 20 ปีแล้ว ถึงแม้ปีนี้เธอจะชรามากขึ้น แต่เธอยังคงสามารถหาบของขึ้นภูไหว

เธอบอกวิธีการเดินขึ้นภูกระดึงว่าให้เดินช้าๆ และหายใจเข้าลึกๆ พุทโธ พุทโธซึ่งเราลองทำตามอย่างที่เธอแนะนำ ก็ได้ผลจริงๆ เรารู้สึกใจเย็นขึ้น

เมื่อถึงซำแฮก เราก็เหนื่อยแล้ว ยิ่งมาดูป้ายแผนที่ที่ติดเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวดูที่ซำนี้ ก็พบว่าหนทางยังอีกยาวไกล เราตั้งหลักในการเดินขึ้นภูใหม่อีกครั้ง ด้วยคำแนะนำของป้าหนูพิณ คือให้เดินช้าๆ หายใจเข้าภาวนาพุทธ หายใจออกภาวนาโธ
_________________________________________________________________














ยิ่งชัน ก็แปลว่ายิ่งใกล้ถึงแล้ว

เส้นทางเบื้องหน้าของผมตอนนี้ มีความชันมากขึ้น และต้องใช้กำลังขาในการก้าวเท้ามากขึ้นตามไปด้วย เพื่อให้ถึงจุดหมาย นี่คงไม่ต่างอะไรจากชีวิตคนเรา ในการแสวงหา สิ่งใดสิ่งหนึ่งจำเป็นต้องใช้ความพยาม พาทำให้เรานึกถึงตำนานของภูกระดึงอีกเรื่องที่บอกว่า มีพรานผู้หนึ่งตามล่ากระทิงโทนขึ้นไปจนถึงบนยอดภู และได้พบพื้นที่บนยอดเขาราบเรียบ และกว้างใหญ่มากเป็นทุ่งหญ้าสลับกับป่าสน มีต้นไม้ขึ้นอยู่อย่างเรียงรายเป็นระเบียบ และยังเต็มไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด เช่น ช้างป่าฝูงกระทิงเก้งกวาง ซึ่งหากินอยู่เป็นฝูงๆ ไม่ตระหนกตื่นกลัวนายพราน เนื่องจากไม่เคยเห็นคนมาก่อน นับตั้งแต่นั้นมาภูกระดึงซึ่งธรรมชาติได้ปิดบังซ่อนเร้นมานาน ก็ถูกเปิดเผยให้มนุษย์รู้จักเราคิดวิพากษ์ว่า เพื่อการตามล่ากระทิงป่า ถึงกับต้องเสียเวลานับวันปีนขึ้นภูเลยหรือ เพราะขนาดเราที่กำลังปีนอยู่ ไม่ต้องคิดแม้แต่จะวิ่งเพื่อให้ถึงเร็วๆ แรงขาจะเดิน ยังแทบก้าวไม่ออก

เราอดแปลกใจไม่ได้ เมื่อเดินมาถึงที่หมาย ภูกระดึงมีลักษณะภูมิประเทศที่น่าตื่นตาตื่นใจ เพราะยอดภูแห่งนี้เป็นลานกว้างใหญ่ เปรียบเสมือนภูเขาที่โดนตัดยอดออก
_________________________________________________________________












เพราะธรรมชาติไม่เคยปฏิเสธการเปลี่ยนแปลง

เราขึ้นมาถึงแล้วที่หลังแปร ยอดภูกระดึง แต่ก็ยังไม่ถึงเสียทีเดียวก็เดินต่อไปยังที่พักอีก 2 – 3 กิโลเมตร เราไม่เดินแล้ว แต่เราเลือกที่จะเช่าจักรยานปั่นไป ก่อนถึงที่พักเราหยุดดูวิวธรรมชาติที่ผาหมากดูก มองลงไปด้านล่างท่ามกลางป่าไม้ มนุษย์อย่างเรา เป็นสิ่งมีชีวิตที่เล็กมากๆ แต่ริอาจเปลี่ยนแปลงและฝืนธรรมชาติ

ทว่าก้อนหิน ดินทรายที่เราเหยียบมาตลอดทาง สมัยยังไม่มีมนุษย์ขึ้นมาที่นี่ มันคงอยู่อย่างมีสุข แต่วันวันนึงเมื่อมนุษย์รู้ถึงความงามของที่นี่ ก็เริ่มเดินเท้าเหยียบย่ำเข้ามา ก้อนหิน ดินทรายเหล่านี้ก็ไม่เคยบ่นเลยว่าเจ็บ ว่าปวด ว่าไม่ต้องการให้มนุษย์ขึ้นมาที่นี่ ในทางกลับกันมันยงคงรักษาความสวยงามไว้ได้ แม้จะผ่านช่วงเวลามานานแสนนาน อาจเพราะธรรมชาติไม่เคยปฏิเสธการเปลี่ยนแปลง ถ้าหากการเปลี่ยนแปลงนั่น เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น เป็นประโยชน์ต่อเรา มันก็ยอมที่ทอดตัวให้เราได้เหยียบย่ำเป็นทางเดิน เป็นบันใด ปืนขึ้นมาดูธรรมชาติที่สวยสด งดงาม
_________________________________________________________________














ฟังเสียงธรรมชาติสอน

เมื่อเราขึ้นมาถึงที่พักบนยอดภู พระอาทิตย์ก็ไกล้จะลับขอบฟ้าเสียแล้ว และอากาศเริ่มหนาวเย็นลง เราคงไม่สามารถเดินต่อไปยังผาใด ผาหนึ่งเพื่อดูพระอาทิตย์ตกได้ เราจึงเลือกไปที่ใกล้กับที่พักนั่นคือ ไปไหว้พระพุทธเมตตา ที่ลานพระศรีนครินทร์ เหมือนธรรมชาติจะเต็มใจและเชื่อเชิญให้เรามาที่นี่ เราเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มสุดท้ายที่ยังอยู่ในลานนี่ ต่อหน้าองค์พระพุทธรูป ท่ามกลางป่าสน ลมหนาว และแสงอาทิตย์รำไร ที่กำลังจะหมดไปเป็นแสงสุดท้ายของวัน ความสงบเงี่ยบที่มาพร้อม กับเสียงนก ประสานกับเสียงใบไม้ที่เสียดสีกัน พาทำให้เราต้องนั่งทบทวนกับสิ่งที่ได้เผชิญมาตลอดทั้งวัน

เรานึกถึงคำสอนของป้าหนูพิณ  ที่บอกให้เดินขึ้นภูอย่างใจเย็น ให้เราหายใจเข้าลึกๆ และหายใจออกยาวๆ ในขณะที่ก่อนหน้านี้ความรู้สึกของเราคือ ต้องการที่จะพิชิต ต้องที่จะไปให้ถึง ต้องการจะเอาชนะ ความรู้สึกเหล่านี้ ทำให้เราเดินเร็วๆ เพื่อให้ถึง แต่เราจะเหนื่อยมากๆ และเมือถึงที่หมาย เราคงล้มตัวลงนอนทันที 

ในทางกลับกันความชันของธรรมชาติคงจะสอนให้เราถอดความเป็นตัวตน ถอดความเป็นอัตตา เลิกคิดที่จะพิชิต เอาชนะ เราลองหยุดที่จะต่อสู้กับธรรมชาติ ยอมสิโรราบ และไปกับธรรมชาติ เราค่อยๆเดิน มีสติในทุกย่างก้าว และหยุดคิดว่าเมื่อไหร่มันจะถึง แต่ในทุกย่างก้าวของเราที่ก้าวเดินที่นี่  มันถึงแล้วหละ ถึงภูกระดึง ตั้งนานแล้ว ภูกระดึง อยู่ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ อยู่ในใจของเราทันที ที่เรามีสติรู้ เดินอยู่รู้ หายใจอยู่ก็รู้

_________________________________________________________________














พระอาทิตย์ขึ้นที่ภูกระดึง

เช้าวันรุ่งขึ้น เราตื่นมาตอนเช้ามืด เจ้าหน้าที่ป่าไม้ พาเรา กับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ เดินทะลุเข้าป่าเพื่อไปยังผานกแอ่น เพื่อรอชมพระอาทิตย์ขึ้นในเช้าวันนี้

เวลาประมาณ 6 โมงเช้า ผมใช้จังหวะนี้เปิดหน้าในสารคดีพิเศษ ที่ผมจะตั้งชื่อว่าให้มันว่า ภูกระดึง 2013 ฟังเสียงธรรมชาติสอน

พระอาทิตย์ขึ้นแล้วนะครับ ภาพข้างหลังของผมเนี่ย ทั้งทิวสนหน้าผา พระอาทิตย์ ก้อนเมฆแล้วก็ อากาศที่หนาวเหน็บ ที่สิ่งที่เราแสวงหามาตั้งแต่ ออกเดินทางมาจากกรุงเทพมหานครนะครับ ดูนั่นสิครับ แสงความพระอาทิตย์นั้น นุ่มนวลแต่ว่า ดูแข็งแกร่ง พระอาทิตย์ไม่ได้ขึ้นมาเพื่อที่จะประกาศชัยชนะ หรือมาทำอะไรที่ดุดัน แต่แสงอาทิตย์นี่ ขึ้นมาเพื่อที่จะ เป็นแสงนำทางให้กับชุมชนที่ยังคงมีความหวังอยู่ อีกด้านหนึ่งธรรมชาติที่ผมมาสัมผัสในเช้าวันนี้ ก็คงจะกำลังแสดงตัวอย่างของการอยู่ร่วมกัน อย่างมีสันติให้เห็นครับ ถ้าพระอาทิตย์พูดได้ ถ้าต้นไม่มีชีวิต มันคงจะบอกกับผมแล้วครับว่า พวกเราคือครอบครัวเดียวกัน ผมเดาต่อไปนะครับ พระอาทิตย์คงเป็นพ่อ ท้องฟ้าคงเป็นแม่ พื้นดินคงเป็นลูกชาย และต้นไม้คงเป็นลูกสาวครับ ครอบครัวนี้ดูเหมือนว่าจะเป้นครอบครัวที่อบอุ่นมากๆทีเดียว เพราะว่าพึ่งพิงและอาศัยกันอย่างแยบยล พระอาทิตย์ที่ผมเห้นที่ดาดฟ้าตึกเนชั่นกรุงเทพ กับพระอาทิตย์ที่ผมเห้นที่ภูกระดึงที่นี่เป็นดวง ดวงเดียวกันครับ แต่ว่าความรู้สึกของผมตอนนี้แตกต่างกันเป็นอย่างยิ่งครับ

>>> ชมสารคดีของเรา >>>



________________________________________

สารคดีพิเศษ โดย ชีพจรข่าว ม.เนชั่น,กรุงเทพ


ธัญพิสิษฐ์ เลิศบำรุงชัย : บรรณาธิการ
อดุลวิทย์ วานิชอุปถัมภ์กุล : กำกับ
เบญจพล ธราพร : ถ่ายภาพ
กีรติ แสงใหญ่ : ถ่ายภาพ________________________________________

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น