วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ชนชั้นกลาง ?

อะไรคือ “ชนชั้นกลาง” ที่แท้จริง

วิกฤตการเมืองที่กำลังปะทุขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่องในเวลานี้ ( พ.ศ.2556) "ชนชั้นกลาง" เป็นคำที่ถูกพูดถึงอยู่บ่อยครั้งมีการกระทบกระเทียบกันว่าชนชั้นกลางเป็นชนชั้นที่กำลังจะไม่เห็นหัวคนชนชั้นล่างและดูเหมือนว่าชนชั้นกลางนี่แหละเป็นชนชั้นที่ให้การสนุบสนุนคุณสุเทพและไม่อยากให้มี "การ เลือกตั้ง" เพราะชนชั้นกลางมีจำนวนน้อยกว่าชนชั้นล่างที่ให้การสนับสนุนพรรคเพื่อไทยและมีจำนวนมากกว่าในประเทศดังนั้นชนชั้นล่างจึงสามารถใช้สิทธิเลือกตั้งเลือกพรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาลได้อีก 

นี่เป็นความเข้าใจของผมคร่าวๆต่อคำว่า “ชนชั้นกลาง” ที่กำลังถูกพูดถึงอยู่ในบริบทการเมืองไทยขณะนี้

ย่าทวดเคยเหล่าให้ฟังถึงกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่ากระฎุมพี (กระ-ดุม-พี) เพราะทวดเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านี้กระฎุมพีเป็นชนชั้นทางสังคมกลุ่มหนึ่งซึ่งก็คือชนชั้นกลางหรือชนชั้นพ่อค้าวาณิชนั่นเองพวกเขาได้สถานะทางสังคมหรืออำนาจมาจากหน้าที่การงานการศึกษาหรือความมั่งมีอันเกิดจากการขยันทำมาหากินแน่นอนว่าพวกเขาไม่ใช่พวกอภิสิทธิ์ชนหรือชนชั้นสูงผู้มีอำนาจ

ในสังคมอินเดียโบราณอันเป็นสังคมที่แบ่งชนชั้นวรรณะกันอย่างชัดเจนระบุถึงชนชั้นกระฎุมพีว่าเป็นชนชั้นที่มีอันจะกินขึ้นมาจากพวกวรรณะศูทรขึ้นมาหน่อย (วรรณะศูทรได้แก่พวกกรรมกรมีเครื่องแต่งกายคือสีดำหรือสีอื่นๆที่ไม่มีความสดใส มีอาชีพชั้นต่ำเป็นที่ดูถูกในสังคม วรรณะนี้เชื่อว่ากำเนิดมาจากเท้าของพระพรมณ์และถัดจากวรรณะนี้ลงไปก็จะเป็นวรรณะจัณฑาลซึ่งมีสถานะต่ำกว่าสัตว์เสียอีก)

• อะไรบ่มเพาะความเป็นชนชั้นกลาง

แม้เวลาจะผ่านไปนานเป็นร้อยปีแต่การเกิดขึ้นของกระฎุมพีหรือชนชั้นกลางยังคงมีรูปแบบที่ไม่ต่างจากเมื่อร้อยปีหรือพันปีที่ผ่านมากล่าวคือชนชั้นกลางเป็นชนชั้นที่เกิดจากการยกระดับตัวเองขึ้นมาจากชนชั้นล่างแล้วมามีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่ามีหน้ามีตามากกว่า

การยกระดับตัวเองนั้นถือเป็นเรื่องไม่เสียหายและเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ หากแต่จะเสียหายไปก็ด้วยความความประมาทในการใช้ชีวิตหลังจากที่มีความคิดในการยกระดับชีวิตตัวเอง

ดังจะเห็นได้จากนักศึกษาจำนวนหนึ่งที่ได้รับเงินจากพ่อแม่ให้เข้ามาใช้ชีวิตเพื่อศึกษาเล่าเรียนในเมืองกรุงเบื้องหลังคือพ่อแม่อาจมีอาชีพเป็นเกษตรกรบางครอบครัวอาจมีรายได้แบบพอกินแต่ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากพอมีรายได้ส่งเสียลูกเรียนในระดับปริญญา

ในขณะที่เบื้องหน้านักศึกษาเหล่านั้นท่ามกลางสังคมที่ว่ากว้างใหญ่และรายล้อมไปด้วยการแข่งขันทางชนชั้นฐานะ ...การยกระดับตนเองจึงเกิดขึ้นเพื่อที่จะทำให้พวกเขาสามารถเข้ากับสังคมศรีวิไลซ์อันฉาบฉวยเหล่านั้นได้

ไม่เพียงแต่ในรั้วมหาวิทยาลัยเท่านั้นเมื่อเรียนจบมีงานทำมีเงินเดือนเป็นของตัวเอง การยกระดับเข้าสู่ความเป็นชนชั้นกลางยังคงดำเนินต่อไปและเข้มข้นมากขึ้น

มิหนำซ้ำพอมีลูกมีครอบครัวสภาพการศึกษาในเมืองกรุงที่แข่งขันกันรุนแรง ก็ทำให้คนเป็นพ่อเป็นแม่ส่งลูกเรียนกวดวิชาเพื่อคว้าที่ 1 ของห้องเพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้กับครอบครัว และยืนยันความเป็นชนชั้นกลางของตนเอง

ในกระทู้พันทิปมีการวิพากย์วิจารณ์ถึงชนชั้นกลางไว้บางช่วงบางตอนมีความตอนหนึ่งว่ามันเป็นความอัดอั้นอย่างหนึ่งของชนชั้นกลางครับเหมือนหนูถีบจักรที่คิดว่าสักวันจะไต่ขึ้นไปถึงข้างบนๆแต่ไม่มีทางหรอกเพราะที่วิ่งๆไปมันก็วนอยู่ที่เดิมขณะที่ชนชั้นล่างก็ไล่หลังขึ้นมาถ้าไม่มีชนชั้นล่างให้เหยียบเลยเขาจะรู้สึกว่าชีวิตตัวเองไร้ค่ามาก

ผู้คนในพันทิประบุต่ออีกว่าเอาเท่าที่สังเกตุจากคนที่รู้จักคนกลุ่มนี้จะหมดเวลาไปกับงานกับการสิ่งบันเทิงครับโอกาสติดตามข้อมูลข่าวสารน้อยมากแต่ขณะเดียวกันก็อยากแสดงอกกว่าเป็นคนที่มีความคิดและอุดมการณ์จึงมักเข้าร่วมกับกิจกรรมดังกล่าวแบบฉาบฉวย

“พยายามยกระดับตัวเองด้วยการมีการใช้อุปกรณ์ทันสมัยมาเสริม (แม้กระทั่งอุ้มหมากระเป๋าเสริมบุคลิกเจ้าของ) และรังเกียจพวกที่เรียนมาน้อยบนพื้นฐานความคิดว่าคนที่เรียนน้อยจะคิดด้วยตัวเองไม่เป็นโดนชักจูงจากนักการเมืองได้ง่ายมีอาการไม่ชอบหรือบางทีหนักมากกว่านั้นรังเกียจพวกตาสีตาสา” ชาวเน็ตในพันธิปกล่าว

กระทู้ชนชั้นกลางในพันทิปบอกด้วยว่าชนชั้นส่วนใหญ่ทำงานในออฟฟิศหรืออยู่ในกลุ่มที่มีการศึกษาหรือเป็นเจ้าของกิจการรายย่อยไม่กล้าออกหน้าหรือออกนำแต่รอจังหวะพอเริ่มมีพวกมากขึ้นก็จะเริ่มมีความกล้าและเริ่มแสดงออกเชื่ออะไรแล้วก็จะผสมกับแนวคิดวิเคราะห์ของตนเองเชื่อแล้วก็เชื่อเลยจึงปิดกั้นการรับฟังเหตุผลที่คิดต่าง (โดยไม่รู้ตัว?)

• ชนชั้นกลางกับบริบทการเมืองไทย

ชนชั้นทางสังคมเป็นกลุ่มมโนทัศน์ในสาขาวิชาสังคมศาสตร์และทฤษฎีการเมือง (เรื่องชนชั้นเป็นเรื่องการเมืองมานานแล้วนั่นเอง) มีการจำลองการจัดชั้นภูมิทางสังคมตามลำดับ คือชนชั้นสูง ชนชั้นกลางและชนชั้นล่าง

อย่างไรก็ดีไม่มีการเห็นพ้องต้องกันว่านิยามที่ดีที่สุดของคำว่า “ชนชั้น” คืออะไรและคำนี้มีหลายความหมายหลายบริบท

ในสำนวนพูดทั่วไปคำว่า “ชนชั้นทางสังคม” มักพ้องกับ “ชนชั้นทางเศรษฐกิจ” หรือคนรวยคนจนนั่นเอง

ในขณะที่คาร์ล มาร์กซนักเศรษฐศาสตร์การเมือง ชาวยิวมองว่ากระฎุมพีหรือชนชนั้นกลางในฐานะชนชั้นปกครองกลุ่มใหม่ต้องการจะจัดระเบียบสังคมตามสิ่งที่ตนจินตนาการ

บทความในสารานุกรมเสรีวิกิพีเดียระบุถึงลักษณะเด่นของชนชั้นกลางในประเทศไทยว่าการกำเนิดและแหล่งที่มาของชนชั้นกลางในสังคมรัตนโกสินทร์ (มักถูกเรียกอย่างกระทบกระแทกว่าประเทศกรุงเทพ) นั้นไม่ได้แยกเป็นอิสระจากชนชั้นศักดินาที่ครอบครองอำนาจและผลประโยชน์เศรษฐกิจของอาณาจักรมาก่อนแต่ชนชนชั้นกลางในไทยนั้นอิงไปตามอำนาจที่เป็นใหญ่

“เช่นในสมัยเก่าอำนาจพระราชาเป็นใหญ่เขาก็อิงไปตามกระแสนั้นพออำนาจทุนเป็นใหญ่ก็พิงไปตามกระแสทุนดังนั้นชนชั้นกลางในประเทศไทยยุคแรกจึงเป็นพวกที่ราชวงศ์สนับสนุนให้ได้โอกาศทางการศึกษา” วิกิพีเดียระบุ

สถานีโทรทัศน์ BBC ของอังกฤษได้ผลิตสารคดีชื่อชุดว่า “Thailand Justice Under Fire” หรือความยุติธรรมภายใต้กระบอกปืนเมื่อปี 2011 เนื้อหาในสารคดีบางช่วงบอกว่าการเมืองก่อนยุค “ทักษิณ ชินวัตร” อยู่ในกำมือของชนชั้นนำและชนชั้นกลาง ผู้ดำเนินรายการในสารคดีจึงได้เดินทางออกจากกรุงเทพฯเพื่อเป็นสัมภาษณ์ชาวบ้านที่อยู่ต่างจังหวัดพวกเขาบอกกับบีบีซีว่า “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรีที่เข้าหาได้ง่ายที่สุดและสามารถแก้ไขปัญหาของเกษตรกรได้อย่างรวดเร็ว

“ความนิยมของชนชั้นล่างหรือชนชั้นรากหญ้าในต่างจังหวัดที่มีต่อทักษิณชินวัตรกลายเป็นฐานคะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทย และทำให้น้องสาวนั่นก็คือนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรชนะการเลือกตั้งใหญ่หลังวิกฤตการเมืองที่มีการสลายการชุมชนกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553” ผู้ดำเนินรายการสารคดีบีบีซีกล่าว

ปี 2556 ปรากฎการณ์มวลมหาประชาชนที่นำโดย "สุเทพ เทือกสุบรรณ" อดีตสมาชิกพรรคประชาธิปปัตย์ที่พึ่งลาออกจากสส.เพื่อเคลื่อนไหวบนท้องถนน ถูกมองว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นชนชั้นกลางของประเทศ

ในจดหมายถึงผู้ชุมนุมผู้มีอันจะกินชาวกรุงเทพฯของประวิตร โรจนพฤกษ์นักข่าวอาวุโสของหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นตีพิมพ์บทความนี้ในหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นหน้า 11A วันที่ 19 ธันวาคม 2556 ใจความตอนหนึ่งว่า

“ผมอยากย้ำเตือนชนชั้นกลางและชนชั้นสูงชาวกรุงเทพฯผู้มีอันจะกินอย่างพวกคุณทุกคนที่ได้ออกไปใช้สิทธิทางการเมืองโดยการชุมนุมประท้วงมาณที่นี้ด้วยว่าพวกคุณมิใช่คนส่วนใหญ่ของสังคมและเมืองไทยก็มิใช่สมบัติของชนชั้นกลางและชนชั้นสูงในกรุงเทพฯเท่านั้นกรุงเทพฯเป็นเพียงส่วนหนึ่งของประเทศไทยและประเทศเป็นของคนไทยทุกคนร่วมกัน”

ในบทความระบุต่อไปว่า ผมทราบดีว่าพวกคุณรู้สึกว่าทักษิณยิ่งลักษณ์นั้นชั่วกร่างโกงกินชอบใช้อำนาจในทางที่ผิดฯลฯฯลฯฯลฯ -ในบางแง่ผมก็เห็นด้วยก็ดูการผลักดันร่างนิรโทษกรรมเหมาเข่งตอนตีสี่ที่ทักษิณได้ประโยชน์สิมันหน้าด้านมากแม้ญาติคนเสียชีวิตปี 53 อย่างแม่น้องเกดหรือคนเสื้อแดงที่ไม่เห็นด้วยเขาก็ไม่แคร์

“ผมทราบดีเช่นกันว่าพวกคุณชินกับการชี้นิ้วสั่งลูกน้องสั่งคนขับรถสั่งเด็กเสิร์ฟออเดอร์สาวอาบอบนวดและชนชั้นแรงงานให้ทำโน่นนี่ตามใจชอบพวกคุณจึงรู้สึกรับไม่ได้ที่บรรดาผู้ที่มีการศึกษาต่ำและคนจนเหล่านั้นดันกลับมีบทบาทชี้ชะตาสังคมผ่านการเลือกตั้ง

ผมเคยได้ยินบางคนในกลุ่มพวกคุณพูดแม้กระทั่งว่าเมืองไทยน่าจะมอบสิทธิเลือกตั้งเฉพาะคนที่จบปริญญาตรีหรือจ่ายภาษีรายได้ทางตรงเท่านั้นบรรดา ‘ควายแดง’ คนชนบทที่ด้อยการศึกษามิควรมีโอกาสกำหนดทิศทางการเมืองสังคมไทยเพราะคนพวกนี้โง่จนและถูก ‘ไอ้เหลี่ยม’ หลอกซ้ำซากไม่รู้จักจบแต่เวลาผมได้ยินเช่นนี้ผมกลับอดนึกถึงระบอบเหยียดสีผิวในแอฟริกาใต้สมัยหลายสิบปีก่อนมิได้” (เพิ่มเติม http://www.nationmultimedia.com/politics/A-letter-to-the-well-heeled-protesters-of-Bangkok-30221768.html )

ดูเหมือนว่าสงครามชนชั้นที่เป็นเรื่องการเมืองได้เริ่มขึ้นแล้วอย่างดุเดือดชัดเจนแต่ในบทความของสุจิตต์วงษ์เทศในหนังสือพิมพ์มติชนเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2556 ทำให้ผมทราบว่าชนชั้นกลางไทยเป็นกลุ่มคนที่มีความหลากหลายมากแต่ละกลุ่มตอบสนองสภาวะทางการเมืองแตกต่างกันจึงไม่สามารถเอาอุดมการณ์ทางการเมืองใดๆมาจับกลุ่มชนชั้นกลางอย่างตายตัวได้

“บางทีสนับสนุนปฏิรูปการเมืองแต่ขณะเดียวกันก็ประกาศ "รักในหลวง" เพื่อต่อต้านความเปลี่ยนแปลงจึงต้อนรับรัฐประหารเมื่อกันยายน 2549

คนเสื้อแดงคือคนชั้นกลางระดับล่างเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่มีตลาดของตนเองจำนวนมากไม่รู้สึกเดือดร้อนการกระจุกของเงินจำนวนมากไว้กับคนไม่กี่คนเพราะยังมองเห็นว่าจะขยายกิจการของตนต่อไปข้างหน้าได้อีกมาก คนเสื้อเหลืองคือคนชั้นกลางระดับดีกว่าคนเสื้อแดงเป็นผู้ประกอบการรายเก่าจำนวนมากรู้สึกหนักใจกับการกระจุกทรัพย์มานานแล้วไว้กับคนไม่กี่คนเพราะมองไปข้างหน้าก็รู้สึกว่าจะโตต่อไปไม่ได้เสียแล้ว” คุณสุจิตต์ระบุว่าในบทความหนังสือพิมพ์มติชน (เพิ่มเติมhttp://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1378120623&grpid=01&catid=01 )

กรรมกร หรือที่เรียกกันทางชนชั้นว่า "ชนชั้นล่าง" กำลังก่อสร้างเพิ่มเติมห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ที่อยู่ถัดจากวัดปทุมวนาราม เพื่อรองรับการให้บริการชนชั้นกลางเมืองกรุง


• ชนชั้นกลางคือสิ่งสมมติ

ย้อนกลับไปที่ผมเล่าถึงย่าทวดที่เคยเหล่าให้ฟังถึงกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่ากระฎุมพี หรือชนชั้นกลางความหมายของชนชั้นกลางในแบบคนแก่ธรรมดาธรรมคนหนึ่ง (ซึ่งได้เสียชีวติไปนานแล้ว) มีเพียงว่าชนชั้นกลางเกิดจากการขยันทำมาหากิน

ถ้าไม่คิดอะไรกันมาก ถ้าไม่นับเรื่องการเมือง จริงๆแล้วชนชั้นก็เป็นเรื่องสมมติ มันเป็นเหตุเป็นผลกันมากเลยครับในการที่คนเราเมื่อขยันทำมาหากินก็จะนำมาซึ่งความมั่งมีและความมั่งมีนี่แหละจะทำให้เราใช้ชีวิตอย่างไม่ลำบากและไม่ต้องดิ้นรนกันมากนัก

เพียงแต่วาทกรรมเรื่องชนชั้นกลางที่เกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้ส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องของทฤษฎีการเมืองที่พูดถึงความสัมพันธ์ของกลุ่มคนและความต้องการของคน

และอีกปัจจัยหนึ่งที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมืองคือความประมาทในการชีวิตตัวอย่างที่ยกมาทั้งนักศึกษาที่ฟุ้มเฟ้อและการแข่งขันกันในระบบการศึกษาหรือความพยายามที่จะยกระดับตัวเองเพื่อให้มีหน้ามีตาในสังคมเป็นต้นเหตุให้เราต่างดูถูกกันเอง เพราะคิดว่าตนเหนือกว่า

แม้ว่าหลักจิตวิทยาจะยืนยันว่า ความต้องการเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์เริ่มจากความต้องทางร่างกาย -ต้องการความปลอดภัย - ต้องการความเป็นเจ้าของ – ต้องการความเคารพและความต้องการสูงสุดคือต้องการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์จึงไม่แปลกไม่ต้องสงสัยในพฤติกรรมยกระดับตัวเองของมนุษย์ ...แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ตามมาเพื่อยืนยันความเป็นมนุษย์ที่เจริญแล้วด้วยเช่นเดียวกันก็คือหลักการแห่งสิทธิมนุษยชน หลักสากลที่สอนให้เรารู้จักเคารพผู้อื่นและไม่เบียดเบนซึ่งกันและกันตามหลักการของทุกศาสนา

ที่ประเทศอินเดียชนชั้นวรรณะสลายลงเพราะพระพุทธศาสนา เมื่อดร.อัมเบดการ์อดีตวรรณะศูทร พยายามหาหนทางนำพระพุทธศาสนากลับเข้าสู่ประเทศอินเดียอีกครั้ง เนื่องจากท่านเห็นว่าพุทธศาสนาเท่านั้นที่จะทำให้ความเป็นมนุษย์มีความเสมอภาคกันได้

โดยพระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอมาจากตระกูลต่างๆกันย่อมมีความเสมอกันเมื่อมาสู่ธรรมวินัยนี้แล้วหมือนมหาสมุทรย่อมเป็นที่รวมของน้ำที่ไหลมาจากแม่น้ำและทะเลต่างๆเมื่อมาสู่มหาสมุทรแล้วก็ไม่สามารถจะแยกได้ ว่าน้ำส่วนไหนมาจากที่ใด

ที่ศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนาราม มีภาพที่ทำให้เห็นและสัมผัสได้อย่างชัดเจนระหว่างการอยู่รวมกันแบบมีชนชั้นกับไม่มีชนชั้นหน้าศาลามีรองเท้าที่เรียงรายกันอยู่หลายคู่ มีตั้งแต่รองเท้าแตะตราดาวเทียมถึงรองเท้าหนังแท้ลาครอส แต่นั่นกลับไม่ใช่ความต่างทางชนชั้นเลยเพราะต่างคนต่างก็มาสวดมนต์ มีจิตน้อบสักการะบูชาอย่างสงบพร้อมเพียง


ในขณะเดียวกันขนาบข้างวัดปทุมฯ คือสยามพารากอนและเซ็นทรัลเวิลด์สถานที่ที่ชนชั้นกลางไทยรู้จักกันดี และใช้จ่ายเพื่อความการยกระดับตนเองบ้าง หรือด้วยความจำเป็นบ้างไม่มากน้อย เมื่อผู้ให้บริการทำตามหน้าที่คือการดูแลเทคแคร์ลูกค้า เราจึงได้เห็นลูกค้าที่เป็นชนชั้นกลางใช้บริการอย่างเต็มที่แบบชนชั้นต่อชนชั้นเช่นเดียวกัน

บรรทัดสุดท้ายขอเพียงเราต่างมีความเมตตาซึ่งกันและกันเท่านั้นเอง
////////////////////////////////////////// TANPISIT LERDBUMRUNGCHAI

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น